รีวิวงานแต่ง Outdoor งานนี้การันตีความสนุก @Moonstar Studio

งานแต่งแบบเป็นตัวเอง @Moonstar Studio
        เราอยากได้อะไรที่เป็นตัวเรามากที่สุด พี่พจน์อยากได้อารมณ์เหมือนงานในสวน แต่เป๊กก็ไม่อยากให้ทุกคนร้อน เลยตกลงกันว่าจัดรูปแบบเหมือนสวนแต่เป็น indoor แทน และคิดว่ามันต้องเป็นที่ที่ใหญ่หน่อย เลยเลือกจัดงานที่ Moonstar Studio (มูนสตาร์ สตูดิโอ) ที่ปกติเขาใช้ถ่ายโฆษณากัน
          ที่นี่เป็นสตูดิโอใหญ่เกือบ 1,600 ตารางเมตร เพดานสูง 10 เมตร ให้ความรู้สึกโปร่งโล่งเหมือนอยู่ในสวน  แต่จะลำบากกว่าการจัดในโรงแรมตรงที่ เราต้องสร้างทุกอย่างขึ้นมาจากศูนย์  ทำให้มีค่าใช้จ่ายในการตกแต่งสถานที่เพิ่มเข้ามา  ส่วนเรื่องอาหาร  เราก็ต้องหามาเอง  เราว่าอาหารในโรงแรมที่อร่อยๆ ก็มีนะ  แต่เราสองคนชอบอาหารแบบ Street Food มากกว่า เป๊กว่าอาหารพวกนี้หละที่อร่อยจริงๆ  วันงานก็เลยติดต่อร้านอาหารที่ชอบมาจัดเป็นซุ้มอาหารในงาน เลือกจากร้าน  ที่พวกเราชอบไปกิน ก็มีพวกก๋วยจั๊บ น้ำแข็งไส แล้วก็ข้าวเหนียวมะม่วง รวมจากที่อื่นๆ ด้วย ทั้งหมดก็ประมาณ 10 ร้าน

จัดงานใหญ่อย่างนี้เตรียมงานยังไงบ้าง

พอเราสองคนตกลงกันได้ว่าอยากได้งานประมาณไหน ก็เป็นเรื่องการหาออร์แกไนเซอร์ที่จะมาช่วยจัดงาน เราเจอเขาช้าไปหน่อย เลยมีเวลาวางแผนจัดงานแค่ประมาณ 3 เดือนเอง  ทำให้เป๊กกังวลมากว่า จะทำทันรึเปล่า  แต่เค้าเก่งมากๆ แค่ 2 อาทิตย์ ก็ทำให้ทุกอย่างเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้  เพราะเค้ารู้ว่าจะต้องทำอะไรบ้าง พอเห็นเป๊กกังวลมาก ๆ ก็จะคอยปลอบตลอด ช่วยบรรเทาความกังวลของเราลงไปได้เยอะ

ส่วนเรื่องโปรดักชั่น  โครงสร้างใหญ่ในการจัดตกแต่งสถานที่นั้น  เราใช้แยกกัน   มีการทำโมเดลงานมาให้ดูด้วย  ทำให้รู้สึกเห็นภาพ  และรู้สึกชัวร์ขึ้นว่าเราเข้าใจตรงกันทั้งสองฝ่าย

เราปูพื้นสตูดิโอทั้งหมดด้วยหญ้าเทียม เวทีเราทำเป็นเหมือนด้านหน้าของโรงนา ที่มีบันไดเดินขึ้นไปชั้นสอง ข้างล่างเป็นวงดนตรี ส่วนชั้นสองใช้เป็นที่เปิดตัวบ่าวสาว  ตรงกลางเป็นโต๊ะอาหารยาว 20 เมตร 2 โต๊ะ ขนาบด้วยโต๊ะเตี้ยประมาณ 8 โต๊ะ   รอบงานเป็นซุ้มอาหารจากร้านดังๆ กว่า 10 เจ้า และฝั่งนึงมีที่นั่งเป็นสแตนด์ยาวต่อกัน พอเดินเข้ามาในงาน ก็จะเห็นธงราวหลากสีโยงไขว้ไปมาอยู่เหนือหัวเต็มไปหมด

ได้ยินมาว่างานนี้ไม่มีแบ็คดรอปถ่ายรูปกับบ่าวสาวหน้างาน

คือทั้งเป๊กและพี่พจน์  ไม่อยากไปยืนอยู่ข้างหน้า เพื่อรอถ่ายรูปหน้าแบคดรอป เหมือนงานแต่งที่เราเคยไปมา แต่อยากจะใช้เวลาอยู่กับแขกทุกๆ คนในงานมากกว่า  ถ้าใครอยากถ่าย ก็เดินมาถ่ายรูปกับเราได้ทุกเมื่ออยู่แล้ว เพราะเราก็เดินคุยอยู่กับแขกในงานนั่นแหละ  แต่ไม่ใช่ว่าเราไม่อยากได้รูปร่วมกับแขกในงานนะคะ  เราแค่รู้สึกว่า  การได้ถ่ายรูปร่วมกับแขกทั้งหมดในงานในภาพเดียวกัน  มันน่าจะเป็นอะไรที่น่าประทับใจกว่า  ดังนั้น ถ้าใครไปงานแต่งของเรา สิ่งแรกที่จะสะดุดใจเขาคือ ‘อ้าว ไม่มีแบ็คดรอปถ่ายรูปตอนเข้างาน!’ พอเดินเข้ามางงๆ ก็จะสะดุดตาว่า ‘เอ๊ะ สแตนด์ยาวๆ เหมือนงานกีฬาสีนี่คืออะไร!’ (ฮา) คือเราเอาสแตนด์ที่เหมือนกับใช้ในงานกีฬาสีตามโรงเรียนนี่ละมาวางต่อกันยาวๆ นั่งจนเต็มก็ได้ประมาณ 300 กว่าคน  แล้วเราก็เชิญแขกทุกคนมาถ่ายรูปร่วมกัน แบบเดียวกับที่ถ่ายรูปรับปริญญาเลย เราก็จะได้รูปออกมาเป็นรูปยาวๆ แขกเป๊กประมาณ 800 กว่าคน ก็ถ่ายไป 2 ครั้ง  ทุกคนเอ็นจอยมากกกกกเราก็ดีใจนะที่แขกชอบ  และเราก็มีสแตนด์ดี้เท่าตัวจริงของเป๊กกับพี่พจน์ วางอยู่รอบๆ งานด้วย อันนี้เพื่อนทำมาให้เป็น Gimmick ขำๆ  เพราะเราไม่ได้ไปยืนข้างหน้า อย่างน้อยแขกก็จะได้รู้ว่า มาถูกงาน​ (ฮา)

แล้วก็ยังได้ยินมาว่า ไม่มีการโยนดอกไม้ด้วย???!!!

เราใช้เป็น  Balloon drop  แทนการโยนดอกไม้ค่ะ เราซ่อนลูกโป่งลูกเล็กๆ จำนวน 200 ลูกเอาไว้ด้านบน ส่วนเป๊กถือพลุเอาไว้อันนึง พอดึงสลัก  ก็เป็นสัญญาณให้ข้างบนเขาปล่อยลูกโป่งทั้งหมดลงมา  โดยที่ลูกโป่งทั้งหมดจะเป็นสีขาว  มีแค่ 2 ลูกที่เป็นสีแดง  แล้วสาวคนไหนได้รับลูกโป่งสีแดง ก็เท่ากับว่า จะได้เป็นเจ้าสาวรายต่อไป ซึ่งแบบนี้ นอกจากจะให้ความรู้สึกแปลกใหม่แล้ว ก็ยังได้ภาพที่สวยมากๆ ด้วยค่ะ

จัดงานแหวกแนวขนาดนี้ ผู้ใหญ่ว่าอย่างไรบ้าง

ตอนแรกแม่ก็งงๆ นะ ว่า เอ๊ะ พวกเราจะทำอะไรกัน แล้วจะเขาบอกเพื่อนๆ เขายังไง เพราะอะไรๆ ก็ดูจะไม่เป็นพิธีการไปซะหมด (dress code เป็นแว่นดำ... เพราะพี่พจน์เป็นคนชอบใส่แว่นดำ เรียกได้ว่าแทบจะตลอดเวลา....ฮา) แต่เนื่องจากคุณแม่เป๊กและคุณแม่พี่พจน์ ก็เป็นคนสบายๆ กันทั้งคู่ ท่านก็เลยยอมให้เราทำตามที่เราอยากได้  แล้วพอวันงาน แม่ของทั้งสองฝ่ายก็แฮปปี้มาก  ซึ่งก็ทำให้เรารู้สึกดีไปด้วย แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่สนใจแขกผู้ใหญ่เลยนะคะ  เพราะตอนงานหมั้น เราสองคนก็จัดพิธีการให้ผู้ใหญ่แบบเต็มแม็กซ์เลยเหมือนกัน พอมาเป็นงานเย็น เราก็ผสานสมดุลระหว่างแขกเด็กกับแขกผู้ใหญ่ โดยการจัดเป็นโต๊ะยาวแบบ sit-down dinner เพื่อรับรองแขกผู้ใหญ่อย่างดี มี catering ดูแลเรื่องเมนูอาหาร และยกมาเสิร์ฟให้เป็นคอร์สๆ  ส่วนเด็กๆ ก็ให้เดินเลือกกินจากซุ้มอาหารรอบๆ งาน ซึ่งถ้าผู้ใหญ่อยากทานอาหารจากซุ้ม ก็สามารถเดินไปหยิบได้ด้วยเหมือนกันค่ะ

ตั้งแต่เตรียมงานจนถึงวันงาน ประทับใจอะไรมากที่สุด

ที่ประทับใจที่สุด น่าจะเป็นเพื่อนๆ คือเพื่อนมาช่วยงานเรากันเยอะมาก ทั้ง presentation prewedding ไฟ ปริ้นท์สแตนด์ดี้มาให้ คือทุกคนช่วยเราด้วยใจจริงๆ  อันนี้คือประทับใจมาก  ส่วนวันงาน เพื่อนๆ ก็มากันเยอะมาก  ตอนแรกเราก็คิดอยู่ว่า  ทุกคนจะมาลำบากรึเปล่า  เพราะสถานที่จัดไม่ได้อยู่ในตัวเมือง แต่กลายเป็นว่า เพื่อนมากันเต็มงาน แล้วทุกคนก็แฮปปี้ คือเราประทับใจที่ทุกคนสนุก และแฮปปี้กับงานของเรามากกว่าเรื่องการตกแต่ง หรือว่าเรื่องอาหาร คือบางคนอาจจะชอบซึ้งๆ แต่เราเน้นสนุกเป็นหลัก เป๊กกับพี่พจน์ อยากให้มันเป็นงานที่สนุก แล้วมันก็สนุกได้อย่างในที่เราคิดไว้จริงๆ

มีอะไรอยากแนะนำว่าที่บ่าวสาว ที่กำลังต้องเตรียมตัวจัดงานแต่งบ้าง

1. เคยได้ยินไหมว่า พอจะแต่งงาน บ่าวสาวชอบทะเลาะกัน

คือคู่เราก็เป็นนะ การเป็นแฟนกัน กับการที่ต้องมาทำงานอะไรสักอย่างร่วมกันนี่ มันไม่เหมือนกันเลย เราจะได้เรียนรู้นิสัยของกันและกันมากขึ้นไปอีก ในแต่ละคู่  อาจจะมีเรื่องที่ขัดแย้งแตกต่างกันออกไป  แต่ถ้าเราอดทนจนผ่านจุดนั้นไปได้  มันก็จะเป็นบทเรียนใหญ่ๆ อันนึงเลย   ว่าแต่ละฝ่ายชอบต่างกันอย่างไร แล้วเราจะจัดการกับความขัดแย้งเหล่านั้นอย่างไร ทุกคู่ที่ทะเลาะกันเยอะๆ เป๊กเชื่อว่า มันจะมาถึงจุดหนึ่ง ที่มันเหลือแค่เส้นบางๆ แล้วว่า จะแต่ง หรือไม่แต่งดี ถ้าไม่แต่งก็จบ แต่ถ้าตัดสินใจว่าจะแต่ง เราก็ไปต่อ ถ้าเราอดทนแล้วผ่านตรงนั้นไปได้ ตื่นเช้ามาหลังวันแต่งงานมันจะรู้สึกดีมากๆ ว่าเราได้ผ่านจุดนั้นมาแล้ว

2. อย่าชะล่าใจ

งานเรารู้ฤกษ์ล่วงหน้าปีครึ่งนะ แต่ก็มัวชะล่าใจกันอยู่ คิดว่าใกล้ๆ ค่อยจัดการก็ได้ ใกล้ๆ ค่อยแจกการ์ด แต่เอาเข้าจริง ก็แทบจะไม่ทัน  เพราะแม้ว่าเราจะส่งการ์ดทางไปรษณีย์ หรือฝากการ์ดไปกับคนอื่นได้ แต่จริงๆ แล้วกับแขกผู้ใหญ่ มันก็ไม่ควร ตามมารยาท เราควรเอาไปมอบให้ด้วยตัวเองมากกว่า ถ้าเจอใครจะจัดงานแต่งงาน พี่พจน์จะเตือนก่อนตลอดเลยว่า  ให้แจกการ์ดก่อนเลยนะ (ฮา)  เรื่องวางแผนงานก็เหมือนกัน พอมาวางแผนงานกันใกล้ๆ จะทำให้คุมงบลำบาก  นี่ขนาดว่าเราได้เพื่อนมาช่วย  ทำให้ประหยัดไปได้เยอะ  แต่ก็ยังเกินงบเลย เพราะพอมันใกล้แล้ว อะไรที่ต้องจ่ายมันก็ต้องจ่าย แต่อะไรที่ประหยัดได้ เราก็พยายามประหยัด ถ้าได้คนที่ทำงานด้านนี้มาอยู่แล้ว เค้ารู้ว่าซื้ออะไรที่ไหนถูก เขาจะช่วยประหยัดงบให้เรา

Photographer : TheTohng
Wedding Planner : BRIDE-TO-BE  Wedding Planner
Venue : Moonstar Studio