ธีมชัดโดนใจ ในสไตล์วิคตอเรียน@Benedict Studio
ตอนแรกที่แนนคุยกับทางแพลนเนอร์ ว่าอยากจะจัดงานสไตล์วิคตอเรียน ทางทีมงานเขาก็แนะนำสถานที่แต่งงานที่ Benedict Studio (เบเนดิกต์ สตูดิโอ) มาเลยค่ะ พอได้เข้าไปดูห้องใหม่ของเขาก็รู้สึกชอบมาก มันตอบโจทย์กับสไตล์ที่เราต้องการ
แนนจองโซนใหม่ทั้งโซน พื้นที่บริเวณนั้นจะจุแขกได้ประมาณ 300-400 คน เพราะมีชั้นลอยที่แขกสามารถขึ้นไปอยู่ด้านบน แล้วมองลงมายังงานที่อยู่ด้านล่างได้ นอกจากนี้ก็ยังมีห้องสำหรับใช้จัดเลี้ยงที่อยู่ติดกันด้วย การตกแต่งวัสดุที่อยู่ภายในห้องก็โอเคทั้งหมด สวยทุกมุม ไม่ได้ดูหลอกตา แขกถ่ายรูปออกมาก็ดูดี ได้ฟีลแตกต่างจากการจัดงานในโรงแรมจริงๆ
สนุกไปกับการแต่งกายแนวย้อนยุค
ธีมงานสไตล์วิคตอเรียนที่เราจัดขึ้นนี้ Reference จะอยู่ที่ช่วงประมาณสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ค่ะ โทนสีออกแนวแดงเลือดนก ซึ่งตอนแรกพอเราบอกธีมสีธีมงานไป ก็คิดว่าแขกน่าจะแต่งตัวกันมายาก แต่ปรากฏเอาเข้าจริงทุกคนจัดเต็มมาก แต่งตัวกันสนุกสนานเลย
ส่วนชุดเจ้าบ่าวเราก็อยากให้เข้าธีมเหมือนกัน สั่งตัดเป็นสีดำสไตล์อังกฤษ มีหมวกโบราณกับไม้เท้ามาช่วยเสริมลุค ส่วนของเจ้าสาวจะดูพองหน่อย เพราะยุคนั้นสมัยนั้นนิยมสุ่ม ตรงด้านบนเป็นแบบคอตั้ง มาพร้อมสร้อยคออลังการ ต้องขอขอบคุณร้านชุดด้วยที่ให้ยืมมาได้ครบทุกอย่างเลย
สำหรับการตกแต่ง ด้วยความที่สถานที่ด้านในสวยอยู่แล้ว เราเลยเสริมดอกไม้เข้าไปนิดหน่อย ห้องที่ใช้รับรองแขกผู้ใหญ่ เราเน้นสีแดงดำเป็นหลัก การจัดวางโต๊ะอาหารเป็นแบบ Long Table มีแจกัน มีเทียน มีดอกไม้มาวางประดับ ซึ่งอาหารที่จัดเลี้ยงเป็นค็อกเทลก็จริงค่ะ แต่ทางแคเทอริ่งก็จะจัดเสิร์ฟให้ผู้ใหญ่ถึงโต๊ะเลย ส่วนแขกวัยรุ่นสามารถเดินทานกันได้เพลินๆ
ตรงส่วนด้านนอกเราใช้พร็อพและเฟอร์นิเจอร์จากทาง Benedict อย่างเก้าอี้สีขาวที่ดูเข้าธีมกัน ก็เป็นของทางนั้นหมด แบ็คดรอปเราให้ทางแพลนเนอร์ดูแลให้ โดยเขาได้แรงบันดาลใจมาการตกแต่งภายในบ้านในยุคศตวรรษที่ 16 ก็จะดึงอารมณ์ของผ้าบุ ลายฉลุเข้ามาใช้ แล้วเพิ่มความสวยงามด้วยความคอนทราสต์เข้าไป จากโลโก้สีขาวและพร็อพสีดำ
ของชำร่วยเราได้เพื่อนเจ้าบ่าวที่เป็นครีเอทีฟมาช่วยทำให้ โดยเขาดึงเอาจุดเด่น ความเป็นตัวตนของบ่าวสาวมาทำเป็นลายบนเสื้อยืด เสื้อตัวนึงจะเป็นคล้ายๆ หมามีเขี้ยว อันนี้จะเป็นของฝั่งเจ้าบ่าว เพราะเขาเป็นคนมีเขี้ยว แล้วก็ปากเสียหน่อยๆ (หัวเราะ) ส่วนเจ้าสาวจะตาคมๆ ขนตายาวๆ ก็เลยเน้นที่ดวงตาแทน
แม้แต่พรีเวดดิ้งก็ยังเข้าธีมสุดๆ
ในส่วนของภาพพรีเวดดิ้งที่ถ่ายมาก่อนหน้านี้ เราก็นำไปประดับไว้ตรงกำแพงต้นไม้ เรียงไว้ให้เหมือนเป็นแกลอรี่ บางรูปก็วางอยู่บนโต๊ะทานข้าว ซึ่งพรีเวดดิ้งนี้เราถ่ายกันโดยใช้คอนเซ็ปต์นิวยอร์กปี 1950 ได้อารมณ์ย้อนยุคในสไตล์ขาวดำ จัดฟีลให้แต่ละส่วนของโลเคชั่นเป็นพื้นที่ต่างๆ กันไป
บิ้วด์อารมณ์ด้วยเพลงคุ้นหู ในทำนองแบบวินเทจ
พิธีการของเราจะเริ่มจากการเปิดพรีเซนเทชั่นซึ่งเป็นหนังสั้น นำภาพจากตอนถ่ายพรีเวดดิ้งมาตัดต่อให้ดูก่อน หลังจากนั้นจึงเดินเปิดตัวค่ะ
ตรงด้านในเราใช้มุมบันไดแทนเวที เพราะไม่อยากให้ความรู้สึกทางการจริงจัง อยากให้ได้อารมณ์เหมือนเพื่อนมาปาร์ตี้ที่บ้านมากกว่า ในส่วนนั้นก็เลยจะมีดอกไม้สีแดงตกแต่งตลอดราว แล้วก็จัดให้แขกผู้ใหญ่นั่งในห้องด้านใน ส่วนแขกวัยรุ่นเพื่อนๆ พี่ๆ ก็มาอยู่ที่โถงกลางด้วยกัน
เพลงที่ใช้บรรเลงในงาน เราประยุกต์เอาเพลงสมัยใหม่ ที่เป็นเพลงสากลกำลังฮิตมาใช้ แต่เปลี่ยนทำนองให้เป็นแบบวินเทจ 1950
เปลี่ยนจากตัดเค้กเป็นเททราย ได้ความหมายดีๆ
ถัดจากการเดินเปิดตัวเราก็จะมีการกล่าวขอบคุณแขกกันนิดหน่อย มีแขกผู้ใหญ่มาอวยพรให้ แล้วก็เททรายแทนการตัดเค้ก ซึ่งตรงจุดนี้มีความหมายที่ดีมาก เราใช้ทรายสองสี ซึ่งเม็ดทรายมีลักษณะละเอียด ไม่สามารถจับแยกออกจากกันได้ ก็เหมือนสื่อเป็นนัยว่าให้อยู่ครองรัก ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันไปนานๆ ตบท้ายด้วยการโยนช่อดอกไม้สีแดง และประกาศรางวัล
การประกาศรางวัลนี้เราก็มีทั้งแบบยอดเยี่ยมและยอดแย่เลยค่ะ (หัวเราะ) คนที่ได้ยอดเยี่ยมจะได้ที่พักที่พัทยาฟรี ซึ่งเราประทับใจมาก เพราะเขาแต่งตังเข้าธีมมาเลย แถมมีนกมาเกาะที่บ่า แต่งหน้าเขียนตากันจริงจัง เรียกว่าทุ่มเทจริงๆ ส่วนคนที่ยอดแย่คือใส่มาเยอะเกิน อัดทุกอย่างมารวมกันจนขาดความพอดี (หัวเราะ) แต่เพราะทุกคนเป็นเพื่อนกันอยู่แล้วก็เลยขำๆ กันไป ไม่ได้มีใครซีเรียสอะไร จบซีนนี้ก็มีปาร์ตี้กันอีกเล็กน้อยพองาม
สำหรับความประทับใจในงานนี้ แนนคิดว่าอยู่ตรงที่การแต่งตัวตามธีมของแขกจริงๆ ค่ะ เพราะเราไม่ได้คาดหวังไว้มาก แค่คิดว่าถ้าแต่งมาคงสนุกกันแน่ๆ พอมาเจอวันงานที่ทุกคนแต่งเต็มที่มา เราก็พลอยมีความสุขไปด้วยเลย แล้วก็สัมผัสได้ถึงความตั้งใจของทุกคน ที่อยากจะมาร่วมแสดงความยินดีกับเราในวันนั้นจริงๆ
แนะนำบ่าวสาว
ใส่ตัวตนลงไปให้สุด : แนนเห็นคนจัดงานเป็นแพทเทิร์น เป็นพิธีการมาเยอะแล้วค่ะ และรู้สึกว่ามันเหมือนๆ กันไปหมด พอถึงคราวตัวเองต้องจัดงานบ้าง แนนเลยย้อนกลับมามองว่ามันคือครั้งเดียวในชีวิตของเราเลยนะ เราควรจะใส่ความเป็นตัวเองลงไปดีกว่า สนุกกับมัน ไม่ต้องเครียดกับมันมาก พิธีการอะไรที่ทำให้จบตอนเช้าได้ ก็จัดการให้เรียบร้อย ให้งานเย็นเป็นฟีลของการจัดปาร์ตี้ เหมือนชวนเพื่อนๆ ที่ไม่ได้เจอกันมานาน ให้ได้มาจอยกันไปเลย