หมั้นเช้าในห้องจัดเลี้ยง ส่วนมื้อเที่ยงย้ายไปห้องอาหาร @Anantara Siam Bangkok Hotel
งานของแฟร์เป็นงานเช้าเลี้ยงเที่ยง ที่มีหมายตรงส่งมาจากซินแสเลยค่ะ ว่าให้จัดเล็กๆ ไม่ให้จัดใหญ่ๆ (หัวเราะ) เขาบอกว่าจะชงและไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก สุดท้ายเลยมาลงเอยกันที่หมั้นเช้าในห้องที่โรงแรม Anantara Siam Bangkok Hotel (อนันตรา สยาม กรุงเทพ) และไม่ได้มีพิธีสงฆ์ แต่จะเป็นพิธีไทยปนจีน ที่มีแห่ขันหมาก ไหว้ผู้ใหญ่ ยกน้ำชา รดน้ำสังข์ แล้วก็เลี้ยงฉลองที่ร้านอาหารที่อยู่ในโรงแรม ซึ่งคือร้าน Spice Market และ Madison โดยที่สองร้านนี้อยู่ติดกันพอดี
ที่เราเลือกพิกัดเป็นที่โรงแรมอนันตรา สยาม เพราะคุณพ่อเจ้าบ่าวเขาเป็นแขกประจำที่นี่ ตั้งแต่สมัยยังเป็นโรงแรมโฟร์ซีซั่นเลยค่ะ เราได้ฤกษ์ล่วงหน้ามานานมาก ตั้งแต่ธันวาปี 57 เลยอยู่ในยุคเปลี่ยนผ่านพอดี ซึ่งก็ยังดีที่ได้ดีลเดิม แต่ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องบุคลากรในทีมค่อนข้างมาก แต่ก็ส่งงานกันดีไม่ได้มีปัญหาอะไรค่ะ
งานนี้เราแจกการ์ดแยกกันสองใบตั้งแต่ต้น ใบแรกจะแจกเฉพาะญาติสนิทให้มางานเช้า ส่วนใบที่สองจะเชิญทุกคนที่เราตั้งใจอยากให้มา งานตอนเช้าเลยจะมี 100 คน ส่วนงานเที่ยงจะมีประมาณ 180 กว่าคนค่ะ
ด้วยความที่แขกผู้ใหญ่เราเยอะ ก็เลยอาจจะดูแลกันลำบาก เราพยายามย่นเวลาด้วยการรวบถ่ายรูปทีเดียวกันเป็นกลุ่มๆ แต่ก็ไม่ได้ตามที่คาดหวังนัก (หัวเราะ) ซึ่งก็เข้าใจว่าทางผู้ใหญ่ก็จะอยากเก็บภาพเยอะๆ ค่ะ แต่หลังจากนั้นบ่าวสาวก็เลยฉุกละหุกนิดหน่อย เพราะเราเหลือเวลาเปลี่ยนชุดก่อนลงมาอีกครั้งแค่ประมาณครึ่งชั่วโมง เลยลงมาเลท คุมเวลาลำบาก โชคดีที่มีแพลนเนอร์ดี ช่วยแก้ปัญหาหน้างานให้ได้สบาย
Full Course ครบสูตร โดดเด่นทั้งความครีเอท และความอร่อย
ไฮไลท์ของงานนี้คือ ตั้งแต่ช่วงที่เรารู้ฤกษ์ คุณพ่อเจ้าบ่าว (ที่ชอบทานอาหารห้องที่เราจัดเลี้ยงมาก) กับเจ้าบ่าว (ที่เป็นเชฟ) เขามาร่วมด้วยช่วยกันคิด และจัดเตรียมแผนเมนูอาหารล่วงหน้ากันเป็นปีเลยค่ะ ทั้งคู่ช่วยกันปรับเมนูกับเชฟอัญชลี ซึ่งเป็นเชฟหลักของห้องอาหาร Madison ได้ออกมาเป็น Appitizer 2 จาน Main Course 1 จาน แล้วก็ของหวานอีก 1 จาน
ตอนแรกทางโรงแรมเขาจะให้เสิร์ฟตรงกลางแล้วตักแบ่ง แต่เจ้าบ่าวไม่ชอบคอนเซ็ปต์นี้ เพราะเป็นภาระกับแขก ต้องเกรงใจกันไปมา ก็เลยเปลี่ยนไปเป็นแบบ Fine Dining ดีกว่า แล้วให้เขารวมหลายๆ อย่างลงไปในจานเดียว จัดเป็นคำๆ ให้ทานและเสิร์ฟสะดวก เพื่อลดระยะเวลาในการจัดเสิร์ฟไม่ให้เยิ่นเย้อจนเกินไปค่ะ
แรกเริ่มเรามีอาหารรองท้องให้แขกก่อน ของงานอื่นอาจจะเป็นสแน็คทอดกรอบ แต่ของเราเปลี่ยนไปใช้ขนมปังแทน มีทั้งแบบโรยงา และธรรมดา(สำหรับคนที่แพ้ถั่ว) แล้วทำเป็นสไตล์อิตาเลี่ยน คือให้มีน้ำมันมะกอก ซอสบัลซามิก และเนยไว้จิ้มทานคู่กัน ซึ่งงานเราจะไม่รอให้แขกครบก่อนถึงค่อยเสิร์ฟ แต่จะทยอยเสิร์ฟเลย ไม่อย่างนั้นจะต้องรอนาน
แล้วเนื่องจากงานเราไม่มีเวทีเป็นทางการ เราเลยจะใช้วิธีค่อยๆ ทยอยส่งแขก แขกที่ยังไม่ได้เข้าห้องอาหาร จะถ่ายรูปกับบ่าวสาวตรงซุ้มดอกไม้ก็ได้ หรือทานขนมปังเสร็จจะแว่บออกมาถ่าย หรือจะถ่ายตอนหลังทานเสร็จก็ได้เช่นกันค่ะ
ส่วนอาหารจานถัดๆ มา ก็จะเริ่มด้วย Appitizer ที่มีค็อกเทลจัดวางอยู่หลายๆ อย่างในจานเดียว มีทั้งมูสตับเป็ดวางบนขนมปัง แซลมอนรมควันทานคู่กับมันฝรั่งอบ และสลัดล็อบสเตอร์ ส่วน Appitizer อย่างที่สอง จะเป็นปูนิ่มชุบแป้งทอดกับสลัดมะเขือเทศ ในส่วนของซอสเราก็พยายามจะไม่เน้นครีมหรือชีสมาก เพราะแขกบางส่วนโดยเฉพาะทางฝั่งเจ้าสาวจะเป็นคนไทยแท้ อาจจะไม่คุ้นเคยกับวัตถุดิบนี้ เจ้าบ่าวเลยให้เขาเปลี่ยนไปเบสด้วยน้ำมันมะกอกแทน ทุกคนจะได้เอนจอยเหมือนกัน
พอเข้าอาหารจานหลัก เราก็จะมีให้เลือกว่า จะเป็นเนื้อออสเตรเลีย หรือเป็นปลากะพงน้ำลึก (อันนี้เจ้าบ่าวแอบกระซิบว่า ต้องจองปลากันล่วงหน้าหลายเดือนเลย เพราะกว่าจะหาได้ต้องใช้เวลานาน) ซึ่งเราก็ประหยัดเวลาในการจัดจานให้ทีมครัวอีก ด้วยการใช้ Side dish เหมือนกันเลย ต่างกันแค่เนื้อกับปลา และซอสที่ใช้ เพราะถ้าเมนูหลากหลายมาก อาหารจะออกช้าและวุ่นวายมาก
ตบท้ายด้วยของหวาน ที่มิกซ์หลายๆ อย่างในจานเดียว มีทั้งเค้กช็อกโกแลต ทาร์ตผลไม้ และไอศกรีมวนิลา ทั้งหมดจะมาเป็นคำเล็กๆ แบบ 1 หรือ 2 คำหมด แขกก็จะรู้สึกดี เพราะได้ลองหลายๆ อย่างด้วยค่ะ
ไม่ต้องเพอร์เฟ็กต์ รายละเอียดเล็กๆ ที่เป็นกันเองนี่แหละสำคัญสุด
ตัวห้องอาหารจะค่อนข้างแยกกันเป็นส่วนๆ ดังนั้นเครื่องเสียงเลยจะไม่ได้ต่อเนื่องเชื่อมถึงกันค่ะ ตอนแรกเราจะใช้ไมค์ลอย แต่ไม่มี ก็เลยใช้ไมค์เชื่อมสาย ต่อเข้ากับลำโพงแล้วเดินหิ้วเอา ซึ่งกลายเป็นอะไรที่แขกจดจำกันได้ดีมาก เพราะรู้สึกว่ามันน่ารักดี (หัวเราะ) แล้วเราก็สามารถชดเชยกับการที่ไม่ค่อยได้ถ่ายรูปตรงแบ็คดรอปร่วมกับแขก ด้วยการเดินแจกของชำร่วย ที่เป็นช้อนตวงรูปหัวใจไปได้ด้วยเลยในตัว
ที่สำคัญคือ งานนี้บ่าวสาวได้นั่งทานด้วยค่ะ ตอนแรกเราคิดไว้ว่ายังไงก็คงไม่ได้ทานอาหารที่เตรียมไว้แน่ๆ เลยสั่งสมูธตี้มาเตรียมไว้เยอะมาก ถึงเวลาหิวขึ้นมาจะได้หยิบดื่ม แต่พอถึงเวลาจริง แขกเริ่มทยอยกลับ เราก็ทานได้สะดวก โชคดีที่โต๊ะบ่าวสาวอยู่ใกล้แบ็คดรอปพอดี เราก็เลยสามารถลุกแวบไปมาได้ ในกรณีที่แขกอยากถ่ายรูปเพิ่มด้วยค่ะ
การเตรียมงานทั้งหมดของเรา เบสขึ้นจากความคิดที่ว่า เราอยากให้แขกได้สัมผัสประสบการณ์แบบที่เป็น Personal Touch จริงๆ ค่ะ คือให้เขารู้สึกว่าเขาได้รับการดูแล ได้รับการทรีทเต็มที่ เขาคือคนสำคัญที่เราใส่ใจจริงๆ มากกว่าจะจัดงานแบบทั่วๆ ไป ที่เขาสามารถไปพบเจอได้ในงานอื่นๆ ซึ่งหลังจากจบงานแล้วเราก็รู้สึกว่า มันบรรลุวัตถุประสงค์ที่เราได้ตั้งใจ และเตรียมไว้จริงๆ เป็นงานที่ทุกฝ่ายมีความสุขมากๆ เลย
แนะนำบ่าวสาว
ครีเอทงานแบบที่เราสบายใจ : ขั้นแรกต้องคุยกับผู้ใหญ่ให้รู้เรื่อง และตกลงกันก่อนจะเริ่มต้นทำทุกอย่างจริงๆ ค่ะ ตอนแรกพ่อแม่ของเจ้าสาวเองเขาก็ตกใจมาก ที่รู้ว่างานของเราจะมีพิธีการน้อยขนาดนี้ เพราะท่านก็ค่อนข้างเป็นสายอนุรักษ์นิดนึง แต่ด้วยความที่ท่านมีประสบการณ์จากงานแต่งพี่สาวเจ้าสาว ที่จัดเต็มแล้วทุกคนเหนื่อยมาก เขาเลยรับได้ขึ้นมาอีกระดับ พิธีการจีนเราก็มีบ้าง แต่ก็ไม่ได้เข้มงวดเรื่องฤกษ์ยามนัก ให้มาเป็นช่วงเวลาเฉยๆ ไม่ต้องกะนาทีกันให้วุ่นวาย งานเลยค่อนข้างสบายด้วยค่ะ ถือว่าโชคดี
Credits & ร้านค้าแนะนำในบทความนี้
ช่างภาพ วิดีโอ:
Jakawin Photographyสถานที่แต่งงาน:
Anantara Siam Bangkok Hotel