The Apothecary Venue สถานที่แต่งงานสวยมีสไตล์ ได้บรรยากาศเหมือนในหนัง
ใหม่สนใจ The Apothecary Venue (ดิ อะพอธธิคารี) เพราะเคยมีรุ่นพี่จัดงานที่นี่มาก่อนค่ะ ประกอบกับเราอยากได้ที่ไม่ใช่โรงแรม และสมัยนั้นที่จัดงานที่เป็นสวนในกรุงเทพก็ยังไม่ค่อยมีด้วย เลยถือว่าตอบโจทย์ แถมได้บรรยากาศเหมือนฉากแต่งงานในหนังเรื่องทไวไลท์จริงๆ (หัวเราะ)
การเตรียมงานร่วมกับทีมที่นี่ถือว่าสะดวกสบายมาก เพราะทาง Organizer จะมีแบบสอบถามมาให้ ว่าเราอยากได้ธีมสีหรือสไตล์งานแบบไหน อย่างของเราอยากได้ดอกไม้สีพาสเทลเยอะๆ เขาก็ไปทำการบ้าน ดีไซน์ออกมาให้ตรงกับความต้องการ มีรูปตัวอย่างให้เห็นภาพได้ชัดเจน หากมีตรงไหนอยากปรับเปลี่ยนก็สามารถทำได้ก่อนวันงานจริงค่ะ
อบอุ่นด้วยฟีลลิ่งของคนกันเอง
เวลาแขกเดินเข้ามาในตัวสถานที่ ถ้ามองไปด้านซ้ายมือจะเห็นเป็นฮอลล์ก่อน ด้านในเราจัดไว้สำหรับเป็นจุดลงทะเบียน มีสมุดเซ็นอวยพร และของชำร่วยที่ทำขึ้นเอง ด้วยความที่เจ้าบ่าวจบวิศวฯเคมี ส่วนเจ้าสาวเป็นหมอฟัน งานนี้เลยทำเป็นเจลล้างมือแอลกอฮอล์หลากหลายสีค่ะ
ส่วนการ์ดเราก็ทำกันเอง ตอนแรกทำทั้งหมด 3 แบบ และกะจะแจกทั้งหมด แต่ผู้ใหญ่ติงว่าเอาแบบเดียว แพทเทิร์นเดียวดีกว่า เลยทำด้านหน้าเป็นรูปการ์ตูน ใช้ภาพที่เคยจ้างวาดไว้สมัยไปเที่ยว ส่วนด้านหลังก็ทำเป็นไทม์ไลน์งาน มีบอกเดรสโค้ด ซึ่งในการ์ดนี่เรียกว่ามาทั้งพาเลทเลยค่ะ สีอะไรก็ได้ขอให้เป็นพาสเทลก็พอ (หัวเราะ)
เรื่องอาหารจัดเลี้ยง เราเลือกเป็นแบบซิทดาวน์ มีชาร์จบอกตำแหน่งที่นั่งให้กับแขก โดยแบ่งออกเป็นสองส่วนคือญาติผู้ใหญ่ที่จะนั่งในฮอลล์ บนโต๊ะตกแต่งด้วยดอกไม้สีตามธีม กับด้านนอกที่เป็นส่วนของค็อกเทล แขกสามารถเดินทานรอบๆ สถานที่หรือสวนได้ มีสเตชั่นของหวาน สามารถเลือกได้ว่าอยากได้เค้กกี่ชั้น รสอะไร แถมมีคัพเค้กน่ารักๆ ด้วยค่ะ
แขกที่นั่งด้านในจะเลือก Main Dish ได้ ของเราให้เลือกระหว่างผัดไทกุ้งสดกับปลาราดซอสมะขาม ส่วนด้านนอกมีค็อกเทลและซุ้มอีก 4 ซุ้ม ซึ่งก็เสิร์ฟให้กับคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะด้วยเช่นเดียวกันค่ะ
ชุดของใหม่ที่ใช้ในงานเป็นชุดทรงเอ เปิดไหล่มีสายคาดด้านข้าง ของเจ้าบ่าวตอนแรกเขาเลือกมาแบบพอดีตัว แต่เรามีพิธีการที่ต้องนั่ง เลยใช้ไม่ได้ สรุปกลับไปใช้ชุดที่ใช้ถ่ายพรีเวดดิ้งแทนค่ะ (หัวเราะ) งานนี้เราเดินถ่ายรูปกับแขกทั่วทุกมุม ไม่ได้ฟิกซ์ว่าอยู่กับที่ ส่วนพิธีจะเริ่มประมาณ 4 โมงเย็น เป็นการยกน้ำชา ซึ่งเรามีตารางเวลากำหนดการแจกแขกเพื่อความสะดวกค่ะ
พิธีรวบรัดช่วงบ่าย ต่อด้วยความร่มรื่นสบายในสวนสวย
หลังจากใช้เวลาในช่วงพิธีให้รวบรัดเหลือแค่ชั่วโมงเดียวแล้ว ต่อจากนั้นเราก็จะเดินลงมารับแขก ซึ่งในการ์ดเราเขียนบอกเลยว่าให้เพื่อนๆ มากันตอน 5 โมงเย็นค่ะ พอสัก 6 โมง เราก็เริ่มพิธีฉลองด้วยการให้เจ้าบ่าวไปยืนรอเจ้าสาวอยู่ตรงสวน ส่วนใหม่เดินเข้ามากับคุณพ่อ มีการแลกแหวน พูดสปีชวาว แล้วเชิญญาติผู้ใหญ่กับเพื่อนสนิทขึ้นมากล่าว ได้บรรยากาศอบอุ่น มีม็อกเทลที่เป็นน้ำผลไม้สีสดใส เอาไว้ดื่มเชียร์ตอนโทสต์ จบจากนั้นพิธีกรถึงจะเชิญทุกคนไปดินเนอร์ค่ะ
ตื่นเต้นไปกับเซอร์ไพรส์ ได้ใจช่วงเปิดฟลอร์
ทานอาหารกันแล้ว เราก็ตัดเค้กด้านในฮอลล์ แล้วออกมาโยนดอกไม้ที่ด้านนอก ใหม่ไปเปลี่ยนชุดแบบแยกชิ้นได้ ชายกระโปรงไม่ยาวมากจะได้เดินสะดวก แล้วเราก็มีเต้นเปิดฟลอร์เซอร์ไพรส์แขก แอบซ้อมเต้นกันเป็นเดือน จ้างครูมาสอนเลยค่ะ เน้นเพลงเร็วๆ ให้จังหวะสนุก ตอนแรกกะให้คนอื่นเต้นตามด้วย แต่ด้วยความที่เราเต้นสั้นมาก แค่นาทีกว่าๆ เลยกลายเป็นแค่โชว์ไปค่ะ (หัวเราะ)
หลังจากนั้นพี่ช่างภาพมีรีเควสขอให้เต้นรำด้วย อันนี้คือเต้นสดของจริงค่ะ เพราะไม่ได้มีซ้อม (หัวเราะ) ระหว่างนั้นตลอดทั้งงานก็มีดนตรีสดจากทีม Apothecary ตลอด ส่วนอาฟเตอร์ปาร์ตี้เพื่อนๆ อยู่กันไม่เยอะมาก เพราะวันรุ่งขึ้นต้องทำงาน บ้างก็กลับต่างจังหวัด เลยอารมณ์เหมือนมานั่งล้อมวงคุยกันแบบสนิทสนมมากกว่า
คู่เราแฮปปี้กับทางสถานที่มาก เพราะเรียกว่าแทบไม่ต้องเตรียมอะไรเองเลย ทำแค่การ์ดกับของชำร่วย นอกนั้นเขาจัดการให้หมด บ่าวสาวเราสบายเลยค่ะ แขกก็ชมว่าสถานที่ตกแต่งได้ดี อาหารอร่อย ส่วนเจ้าบ่าวก็ชอบเรื่องแบบสอบถามมาก เพราะมันเวิร์ค เหมือนมีการบ้านมาให้เราสำรวจความชอบของตัวเองเพื่อใส่ลงไปในงานตลอด แล้วเขาก็ยังมีเรียกทีมอาหาร ซึ่งเตรียมค็อกเทลมาให้ชิมหลายอย่าง มีเรียกทีมตกแต่ง ดนตรี ทุกฝ่ายเข้ามาคุย เราแค่ใส่ธีมงานที่เป็นตัวเราเข้าไป ทุกอย่างก็ออกมาสมบูรณ์หมดเลย
แนะนำบ่าวสาว
ไม่ต้องแพนิคหรือเครียดกับการเตรียมงานมาก : ปล่อยตัวตามสบาย เพราะมันเป็นวันที่ทุกคนมาร่วมยินดีกับเราจริงๆ ค่ะ อะไรที่ผิดพลาดเขาไม่ได้เก็บไปคิด ปล่อยมันผ่านไป ยิ้มรับ เอนจอยไปกับโมเม้นต์วันนั้นดีกว่า
Credits & ร้านค้าแนะนำในบทความนี้
สถานที่แต่งงาน:
The Apothecary Venueช่างภาพ วิดีโอ:
Anon Photography