MildRoom -- ยินดีต้อนรับสู่ห้องแห่งความสุข

หลายคนเชื่อว่า คำกล่าวที่ว่า ลูกค้าคือพระเจ้า คือหัวใจของงานบริการ

แต่เป๊บซี่และนิ้ว คู่หูช่างภาพและช่างแต่งหน้าแห่ง Mild Room ไม่คิดเช่นนั้น
เจ้าของห้องแสนอบอุ่นห้องนี้ เต็มใจและยินดีที่จะต้อนรับลูกค้า ไม่ใช่ในฐานะราชาหรือเจ้านาย แต่ในฐานะ ”เพื่อน” ที่นึกถึงกันเมื่อไรก็ยังยิ้มได้ทุกที

ภาพที่ดี คือตัวตนที่ไม่แต้มแต่ง

“ชื่อ Mild Room สื่อถึงสไตล์การทำงานของเรา” เป๊บซี่  ช่างภาพอารมณ์ดีบอกเล่าถึงที่มาของชื่อทีม   “ตอนแรกเราทำกับเพื่อนอีกกลุ่ม  ใช้ชื่อว่า   In House แต่พอกลุ่มเริ่มกระจัดกระจาย แยกย้าย ก็เลยเปลี่ยนชื่อ ซึ่งในบ้านก็ต้องมีห้อง เลยคิดออกมาเป็น Mild Room ซึ่ง Mild ก็คือ ง่าย เบาๆ ความคิดไม่ต้องซับซ้อนมาก เราว่าชีวิตทุกวันนี้คิดกันมากอยู่แล้ว เวลาถ่ายรูป ก็อยากให้ถ่ายทอดความเป็นตัวเอง จะคิดมากให้มันไม่เป็นตัวเองไปทำไม”

เป๊บซี่ไม่ได้ตั้งเป้าจะเป็นช่างภาพงานแต่งมาตั้งแต่ต้น อันที่จริงเขาเดินทางบนสายงานที่ดูห่างไกลจากโลกแห่งฟิล์มและเลนส์มากทีเดียว เป๊บซี่เรียนจบสายไฟแนนซ์ และเข้าทำงานที่สยามพารากอน แล้วอะไรคือสิ่งที่ชักนำให้ชายหนุ่มผู้เคยทำงานในห้างหรูกลางเมืองเบนเข็มมาจับกล้องออกตระเวนถ่ายภาพอย่างทุกวันนี้

“ลุงของผมเป็นช่างภาพ  ตอนเรียนปีสี่  ผมเคยไปนั่งเล่นในร้านของลุง  แล้วมีลูกค้ามาถามว่า ถ่ายรูปรับปริญญาไหม ลุงก็รับมา แล้วให้ผมไปถ่ายเลย หลังจากนั้น ลุงก็ให้กล้องเก่าๆ มาตัวนึง  ก็หัดถ่ายไปเรื่อยๆ พอลุงเอากล้องมาดู  ก็บอกว่า ถ่ายคนโอเคนะ เพื่อนก็บอกให้รับงานได้แล้ว  เลยเริ่มรับงานถ่ายรูป รับปริญญา” นั่นคือจุดเริ่มต้นของเป๊บซี่ บนเส้นทางสายช่างภาพ จากงานรับปริญญา  เขาค่อยๆ ขยับขยายมารับถ่ายรูปงานแต่ง  โดยเริ่มจากการถ่ายสแนปช็อตให้ในงานแต่งงานคนรู้จัก และเมื่อได้เจอช่างภาพคนอื่นในงานที่เห็นฝีมือเข้าตา จึงได้เข้าไปคลุกคลีในวงการถ่ายภาพงานแต่งอย่างเต็มตัว

หากมีลูกค้าถามเป๊บซี่ว่า ก่อนถ่ายพรีเวดดิ้ง ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง  ต้องหาอุปกรณ์อะไรมาไหม  คำตอบของเขาคือ  ขอให้พกความเป็นตัวเองมา “จะเน้นให้เป็นตัวของตัวเอง ตอนถ่ายผมจะไม่เรียกนางแบบว่าเจ้าสาว แต่จะเรียกชื่อเลย ถ้าเขาสนิทกะเราแล้ว เวลามีฉาก มีพร๊อพ เขาจะเข้าไปยืนเองเลย แต่ถ้าเขาไม่ได้เจอเราก่อน เราก็จะบอกว่าตามสบายนะ เดี๋ยวจัดให้ อาศัยความสบายๆ ไม่เกร็ง อยากให้เป็นตัวเขาจริงๆ ไม่ต้องแสดงว่าหล่อ เท่”

ใครที่กลัวจะเกร็งตอนถ่ายพรีเวดดิ้ง  กลัวเจอช่างดุ  ตากล้องติสต์แตก  ขอให้สบายใจได้  หากถ่ายกับเป๊บซี่  เพราะเขาเน้นความเป็นกันเอง  และถือคติว่า อยากให้ลูกค้ามีความสุขในวันนั้น “ส่วนใหญ่ลูกค้าที่มาถ่ายพรีเวดดิ้ง ก็จะถ่ายกันฮาๆ ตลกๆ เช่น อยากกระโดดถ่าย จะให้เราโดดด้วยเราก็โดดได้ อย่างน้อยอยากให้ลูกค้ารู้สึกดีในวันนั้น และมีความสุขกับเรา”  และนี่คงเป็นสาเหตุที่ลูกค้าส่วนใหญ่ เมื่อใช้บริการถ่ายพรีเวดดิ้งกับ Mild Room แล้ว  ก็มักจะเลือกให้ไปถ่ายวันจริงด้วย  “เราจะบอกลูกค้าทุกครั้งว่า  ยินดีที่ได้ร่วมงานกับคุณ  ขอโทษถ้าบริการไม่ดี  คิดว่าการที่เป็นคนคุยง่ายไม่ใช่เรื่องเสียหายนะ  เราอยากให้ความเป็นกันเอง ถึงจบงานไปแล้ว ก็ยังคุยกันได้ อยากให้หยิบรูปมาดูแล้วจำได้ว่า นี่เป๊บซี่ถ่ายนะ ให้เขามีความสุขตอนถ่าย เราใส่ใจตรงนี้ แต่แน่นอนว่าเรื่องของคุณภาพรูป เราก็จะคอยพัฒนาไปด้วย”

และนอกจากมิตรภาพที่มีให้ตลอดการทำงานแล้ว  Mild Room  ยังคิดราคาแบบเป็นกันเอง  และพร้อมให้คำแนะนำเรื่องอื่นๆ สำหรับบ่าวสาว  “ที่คิดราคาไม่แพง เพราะเราเริ่มมาจากตลาดล่าง จากถ่ายรับปริญญา ซึ่งราคาไม่แพงมากมาก่อน พอจะมาคิดแพงก็เกร็ง เอาที่สบายใจทั้งเขาและเราดีกว่า เรื่องติดต่องาน หาช่างแต่งหน้าอะไรพวกนี้ เราก็แนะนำให้ได้ ไม่เอากำไร แค่พออยู่ได้ก็พอ”

ตลอดบทสนทนาที่ผ่านมา เรารับรู้ได้ว่า เป๊บซี่เป็นคนทำงานที่หวังดี และจริงใจต่อลูกค้าจริงๆ เราจึงอยากให้เขาแนะนำเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ ให้กับคู่บ่าวสาวว่า ควรเลือกช่างภาพอย่างไร “อยากให้บ่าวสาวคุยกับตัวช่างภาพโดยตรง ให้รู้สึกว่า ร่วมงานกันได้จริงๆ เข้ากันได้พอดีกับเรา รู้สึกเหมือนเป็นเพื่อนไปถ่าย จะได้ไม่เกร็ง  อยากให้นัดคุยกันก่อน  ไม่ใช่ไปเจอวันถ่ายเลย เพราะอย่างน้อย แนวคิดช่างภาพกับลูกค้าไม่เหมือนกันอยู่แล้ว จะได้รู้ก่อน” ฟังดูแล้ว  บ่าวสาวคนไหนที่คิดจะจองช่างภาพจากผลงานในเว็บเพียงอย่างเดียว  อาจต้องคิดใหม่  เพราะคุณคงไม่อยากให้ทุกครั้งที่หยิบรูปถ่ายขึ้นมาดู  ก็นึกออกแต่ประสบการณ์  ที่โดนตากล้องเหวี่ยงใส่เป็นแน่

สะบัดแปรงแต่งหน้าผ่านมุมเลนส์

สมาชิกทีม Mild Room อีกคนคือ นิ้ว สาวตัวเล็กคนนี้ ไม่ได้เป็นเพียงช่างแต่งหน้าเจ้าสาว แต่เธอยังเป็นช่างภาพคู่หูกับเป๊บซี่อีกด้วย เรารู้สึกทึ่งในความเก่งรอบด้าน  อีกทั้งสองทักษะนี้  ยังช่วยขับเสริมเติมแต่งกันได้เป็นอย่างดี  โดยเธอเริ่มจากหัดถ่ายภาพก่อน  พอเริ่มอยู่ตัวแล้ว  ก็ไปลงคอร์สเรียนแต่งหน้า “เราเริ่มจากแต่งหน้างานรับปริญญา แต่งให้เพื่อน ฝึกไปเรื่อยๆ พยายามอ่านเยอะๆ ดูยูทูบเยอะๆ ถามว่าแต่งหน้าให้เจ้าสาวกดดันไหม คือถ้าเริ่มดี ลงรองพื้น แก้ไขหน้าให้ดี ก็จะสวยเลย มันจะมีทฤษฎีที่เรียนมาด้วย แต่ก็ไม่ตรงตามนั้นหมด ต้องปรับๆ ไป”

แน่นอนว่า ช่างแต่งหน้าย่อมมีสายตาแตกต่างจากคนทั่วไป ต้องมองจุดเด่นจุดด้อยบนใบหน้าให้ออก แต่นอกจาก “สายตาของช่างแต่งหน้า” แล้ว นิ้วยังมีอาวุธอีกอย่างคือ “มุมมองเบื้องหลังเลนส์” เธอสามารถนำความรู้จากประสบการณ์การถ่ายภาพ มาประยุกต์ใช้กับการแต่งหน้าได้อย่างกลมกลืน “ เราจะบอกลูกค้าไปเลยว่า ไปงานแต่งงานจะเจอแสงอย่างนี้ๆ นะ จะอัดเหตุผลเลย อ้างทฤษฎีแสง เงาแสง เหลี่ยม ไฟกลางคืน เพราะเราเป็นตากล้องอยู่แล้ว อย่างแสง สีนวล แต่งเข้มจะสวย แสงสีขาวหรือแดดข้างนอก แต่งอ่อนก็สวยแล้ว เข้มไปจะลิเก เขาก็จะเชื่อเรา ถ้าเชื่อก็ฉลุย”

แต่ใช่ว่าเธอจะไม่ใส่ใจความเห็นของลูกค้า เพราะ “ความเป็นกันเอง” คือหัวใจของการทำงานที่ Mild Room ยึดถือ ดังนั้นเวลาแต่งหน้า นิ้วจึงไม่เคยลืมที่จะพูดคุยไถ่ถามความเห็นลูกค้าเสมอ  “จะถามเจ้าสาวก่อนว่า  อยากได้สไตล์ไหน  เช่น บางคนถ่ายพรีเวดดิ้ง อยากได้ใสๆ ธรรมชาติ  สมัยนี้ผู้หญิงไม่ต้องการเยอะ ต้องการสวยธรรมชาติ เราจะพยายามตีสนิท ถามเยอะๆ ว่าอยากได้แบบไหน และพร้อมจะปรับตามเขา”

สุดท้าย เราถามคำถามที่เป็นปัญหาโลกแตกของเจ้าสาวทุกคนคือ  จะเลือกช่างแต่งหน้าอย่างไรดี  “เริ่มจากดูพอร์ตเอาตามเว็บ  และอย่าดูพอร์ตที่แต่งคนที่สวยอยู่แล้ว คนมีชื่อ บางทีแต่งให้ดารา ซึ่งดาราสวยอยู่แล้ว ลงแค่แป้งก็สวย ให้พยายามดูพอร์ตของช่างที่แต่งคนไม่สวยให้สวยได้”  และนิ้วยังเสริมความเห็นที่คล้ายๆ กับคำแนะนำของเป๊บซี่ “แนะนำให้คุยกับช่างก่อน ถ้าเขาไม่ง้อ ไม่คุยกับเรา อย่าไปคุยกับเขา ราคาไม่ใช่ทุกสิ่ง” เพราะเธอเห็นว่า ไม่ว่าขั้นตอนใดของการแต่งงาน การสื่อสารได้เข้าใจกัน และร่วมงานกันอย่างมีความสุข คือสิ่งสำคัญที่สุด

แน่นอนว่า  ไม่ว่าใครก็ต้องอยากได้ภาพถ่ายที่สวยงามน่าประทับใจ   แต่มันคงจะวิเศษยิ่งกว่า   หากช่วงเวลาที่บันทึกภาพเหล่านั้น   จะประทับอยู่ในใจคุณ เช่นเดียวกับมิตรภาพ ที่ Mild Room พร้อมจะมอบให้ลูกค้าทุกคน

ติดต่อร้านค้านี้โทร 08988831xx (กดเพื่อดู)