The Peninsula Bangkokสถานที่แต่งงานสุดหรู ดูดีแบบมีเทสต์
โจทย์หลักของแหวน คือเราตั้งใจอยากจะจัดงานฉลองในแบบที่เป็น Sit-down Dinner ที่ดูอบอุ่น เชิญแต่เฉพาะคนที่สนิทกันจริงๆ เท่านั้นค่ะ ที่เลือกจัดงานแบบนี้ เพราะนอกจากจะสอดรับกับความคุ้นเคยของคุณเจ้าบ่าว ซึ่งโตและเรียนที่เมืองนอกมาตั้งแต่เด็กแล้ว ยังแสดงถึงความใส่ใจต่อแขกที่มาในงานจริงๆ ด้วย แต่เนื่องจากเราจัดกันที่โรงแรม The Peninsula Bangkok (เดอะ เพนนินซูล่า กรุงเทพ) ซึ่งตัวห้องของเขาสามารถรองรับได้มากที่สุดแค่ประมาณ 250 คน งานนี้จึงต้องมีการเลือกสรรแขกที่จะมาร่วมงานกันนิดนึงค่ะ
วิธีการเลือกของเราคือ ไม่ใช่แค่บ่าวสาวเท่านั้น ที่จะต้องเลือกแขกที่มาร่วมงาน แต่คุณพ่อคุณแม่เอง ก็ต้องเชิญเฉพาะเพื่อนที่สนิทกันเท่านั้นด้วย เรียกง่ายๆ ว่า เหมือนเป็นงานฉลองที่รวมแก๊งที่ซี้กันจริงๆ อย่างเพื่อนคุณพ่อคุณแม่ ก็ต้องเป็นคนที่เราเจอหน้ากันบ่อยๆ จนคุ้นเคย ไม่ใช่คนที่แค่ได้การ์ดแล้วเกรงใจกันก็เลยมา
ส่วนแขกที่อาจจะเป็นญาติผู้ใหญ่ ไม่ได้สะดวกมาร่วมในงาน Sit-down Dinner แบบนี้ หรือสนิทห่างกันออกมาอีกหน่อย เราก็จะเชิญเขาไปร่วมในงานหมั้นแทนค่ะ
เนื่องจากพื้นที่และจำนวนแขก เรารองรับได้ค่อนข้างจำกัด ดังนั้นเราจึงมีการแจ้งเพื่อนล่วงหน้าก่อนเลยว่า รบกวนห้ามนำแฟนมา (หัวเราะ) เพราะไม่อย่างนั้น ที่อาจจะไม่พอจริงๆ ส่วนถ้าแต่งงานแล้ว อันนี้พออนุโลมได้ หรือถ้ามีลูกแล้ว ก็พามาได้เหมือนกัน เรามีห้องแยกไว้ให้ เพราะงานสไตล์นี้ อาจจะไม่เหมาะกับการมีเด็ก (และเด็กเองก็ไม่เอนจอยกับอาหารที่เสิร์ฟเป็นคอร์สๆ เท่าไหร่) ซึ่งในนั้นก็จะมีโต๊ะให้สั่งอาหารทานได้ ดูแลกันเป็นสัดส่วนต่างหากไปเลยค่ะ
เปลี่ยนลุคห้องจัดเลี้ยงใหม่ ให้ได้ไฟสลัวอย่างที่ใจอยาก
สำหรับการตกแต่ง เราจะเน้นการประดับไฟเป็นหลักค่ะ มีการนำผ้าขาวมาคลุมทั้งห้อง แล้วแต่งด้วยไฟหยดน้ำอยู่ด้านหลัง ตัวแพลนเนอร์เองก็เสนอว่า ควรมีแบ็คดรอปเสียหน่อย เพราะคนไทยยังคุ้นเคยกับการถ่ายรูปตรงแบ็คดรอปอยู่ ก็เลยทำเป็นไม้ แล้วมีโลโก้พร้อมมงกุฏอยู่ตรงกลาง ด้านหน้ามีแท่นสีทองวางอยู่พร้อมแจกันดอกไม้
แต่สิ่งที่เราเน้นเป็นพิเศษคือ ตอนแรกอยากจะให้ปิดห้องจัดเลี้ยงไว้ก่อน เพื่อให้ถึงเวลาเปิดออกมา จะได้รู้สึกว้าวสุดๆ เราตั้งใจตกแต่งด้านในเยอะกว่าด้านนอก เพราะคิดว่ายังไงแขกก็ต้องใช้เวลาในนั้นมากกว่าค่ะ
จบจากเรื่องโซนรับแขกด้านนอก ก็จะเป็นการตกแต่งภายในห้องจัดเลี้ยงค่ะ บรรยากาศจะแตกต่างจากงานอื่นๆ หน่อยเพราะจะเน้นเป็นแบบสลัวๆ มีไฟอ่อนๆ รอบห้อง เดรสโค้ดก็ขอเป็นแบบ Formal ยาวๆ ก็พอ ไม่ได้กำหนดธีมที่ชัดเจน เพื่อที่แขกที่มาก็จะได้ไม่ต้องอึดอัด ไม่ต้องใส่สีที่เขาไม่ชอบ หรือใส่แล้วไม่สวยด้วยเหมือนกัน
ของชำร่วยที่มีแค่หนึ่งเดียวในโลก
สำหรับของชำร่วย เราคิดไว้แต่แรกเลยว่า อยากได้ของที่พอผู้รับรับไปแล้ว เขาจะรู้สึกอยากเก็บมันไว้ ไม่มีวันทิ้ง ดังนั้นเราเลยตั้งใจทำเป็นรูปวาดของแขกแต่ละท่านเลยค่ะ ทยอยวาดกัน 4-5 เดือนก่อนวันงาน โดยเลือกจากคนที่มั่นใจว่าจะมาก่อนเลย
แต่กระบวนการนี้เรียกว่า ทำกันจนถึงวินาทีสุดท้ายจริงๆ เพราะเราตั้งใจกันมาก แถมอยากทำเป็นเซอร์ไพรส์ ดังนั้นการไปขอรูปตรงๆ จึงทำไม่ได้ ต้องไปแอบดึงมาจากใน Instagram แทน แล้วบางรูปที่เราเลือกไป ก็อาจจะไม่ได้เหมาะกับการวาดนัก ก็เลยจะมีสั่งแก้กันอีก ลดคาง เพิ่มนั่นเพิ่มนี่ เพื่อให้ออกมาดูสวยที่สุด (หัวเราะ)
เรื่องของชำร่วยนี่ถือว่าเราโชคดีมาก ที่วันงานได้ทีมงานแพลนเนอร์มาช่วยจัดวางให้ และแขกที่มาก็ชอบกันมาก สำหรับผู้ใหญ่ท่านไหนที่ไม่เล่นโซเชียล แล้วเราหารูปไม่ได้จริงๆ ก็จะปรับไปใช้วิธีเขียนคำพูด แล้วใส่โลโก้ลงไปแทนค่ะ
ลำดับงานดีไม่มีเบื่อ
อีกอย่างหนึ่งที่เราตั้งใจทำกันมาก คือลำดับต่างๆ ของงาน เราเปิดตัวด้วย First Dance ที่อุตส่าห์ไปร่ำเรียนมา แล้วก็ทาน First Course กันสบายๆ หลังจากนั้นก็จะเป็นช่วงรับชมวิดีโอหมั้น ต่อด้วยคอร์สที่สอง สลับกับสปีชที่แต่ละคนเตรียมมา ทานไปสลับไป จนถึงช่วงตัดเค้ก ก็จะเป็นคอร์สสุดท้ายซึ่งเป็นของหวานพอดี
งานนี้โดยรวมทุกอย่างถือว่าถูกใจแหวนหมดเลยค่ะ เพราะใช่อย่างที่เราอยากได้เลยจริงๆ ทั้งดีเทลต่างๆ ในงาน แม้กระทั่งการเลือกเค้ก ที่เราก็ตั้งใจให้มีแค่ 4 ชั้น จะได้ไม่ต้องตัดด้วยกระบี่กระบองยาวๆ (หัวเราะ) น่ารักๆ เป็นพิธีเก๋ๆ ก็พอ ที่สำคัญคือแขกประทับใจ เราเองก็มีความสุขไปด้วยเหมือนกัน
แนะนำบ่าวสาว
ถ้าอยากจัดงาน Sit-down ต้องใจเย็นๆ : เพราะรายละเอียดค่อนข้างเยอะ และจุกจิกนิดนึงค่ะ ตัวงานเองก็ไม่ควรเอื่อยมาก เพราะช่วงท้ายๆ ไม่ได้เป็นพิธีการอะไร แขกก็อาจจะอยากกลับกันแล้ว พวกเรื่องลิสต์รายชื่อแขกก็สำคัญเหมือนกัน ทั้งจำนวนคนที่ต้องเป๊ะ ชื่อ-นามสกุลแขก ต้องคิดทุกดีเทลหมด ถึงฟังแล้วอาจจะดูวุ่นวายไปหน่อย แต่รับรองว่าภาพออกมาสวยแน่นอน และที่สำคัญคือ ไม่ควรจัดเกิน 250 คน ไม่อย่างนั้นอาจเอาไม่อยู่จริงๆ
นึกถึงใจแขก : การจัดงาน Sit-down จะต่างจากงานค็อกเทลทั่วไป เพราะแขกไม่สามารถเลือกที่นั่ง หรือเลือกพิกัดของตัวเองได้ ดังนั้นเราต้องลิสต์ให้ดีๆ ว่า ใครนั่งโต๊ะไหน นั่งกับใครบ้าง ใครสนิทกับใคร ใครไม่ถูกกับใคร แก๊งไหนควรนั่งข้างหน้า แก๊งไหนควรนั่งข้างหลัง แก๊งไหนควรนั่งติดกัน ไปจนถึงว่าใครทานอะไรไม่ทานอะไร แพ้อะไรไหม เป็นมังสวิรัติรึเปล่า เรื่องพวกนี้ต้องละเอียดทั้งหมด
อย่าโทรคอนเฟิร์มบ่อย : เป็นเรื่องจริงค่ะว่างานแบบนี้เราจะต้องนับจำนวนแขกให้เป๊ะ เพราะตั้งใจจะทำออกมาให้ดีที่สุด แต่แหวนแนะนำว่าให้โทรแค่ 1 ครั้ง ช่วง 2 สัปดาห์ก่อนวันงานจริงก็พอ เพราะไม่อย่างนั้นจะดูโทรจิก ดูโทรตาม เร่งรัดบีบบังคับกันมากเกินไป ประเภท 1 เดือนก่อนงานก็โทร อีก 10 วันจะถึงงานก็โทร แขกอาจจะคิดว่านี่อะไรกับชั้นนักหนาเนี่ยเอาจริงๆ (หัวเราะ)