ขอออกตัวก่อนเลยว่า บทความนี้ไม่ได้เขียนขึ้นเพื่อโจมตี wedding studio ใดๆ นะคะ เพราะจากประสบการณ์ที่อยู่ในวงการเวดดิ้งมาหลายปี ก็เห็นสตูดิโอมาหลายแบบ แบบที่รู้สึกว่าคุ้มจริงและเคยแนะนำเพื่อนๆ ไปใช้ก็มีอยู่ ส่วนแบบที่เห็นแล้วสงสารเพราะบ่าวสาวหมดเงินเยอะก็มีเหมือนกัน
เกณฑ์ต่อไปนี้เลยเป็นแนวทางในการเลือกร้านให้ถูกใจ ไม่ได้จะบอกว่าทุกร้านที่ไม่เข้าเกณฑ์นี้ไม่ดี แค่อยากบอกว่าจุดไหน ที่อาจมีโอกาสในการต้องเสียเงินเพิ่ม จากที่เคยคิดว่าถูกก็อาจจะไม่ถูกจริง เข้าตำราเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่ายนั่นเองค่ะ
- อย่างแรกที่ต้องสังเกตคือจำนวนรูปงานแต่งที่ให้ เพราะอันนี้เป็นปัจจัยที่ทำให้บ่าวสาวกระเป๋าฉีกมานักต่อนัก ถ้าในแพคเกจไม่ได้บอกว่าจะให้รูปทั้งหมด ก็ต้องระวังให้ดี เพราะถึงแม้ว่าตอนก่อนถ่ายรูปแต่งงาน เราอาจจะคิดว่าไม่เป็นไร ตัดใจได้ จำนวนรูปแค่นี้ก็พอ แต่สุดท้าย เกือบทุกคนพอเห็นรูปงานแต่งตัวเองก็อดใจไม่ไหวอยู่ดี อย่างล่าสุดที่ คุณเจ้าสาวคนนึงอยากได้รูปเพิ่มอีก 122 รูป รูปละ 500 บาท ปรากฏต้องเสียเงินเพิ่มอีก 6 หมื่นกว่าบาท กลายเป็นเรื่องให้บ่าวสาวต้องมาถกเถียงกันอีก (ขอบอกว่า 500 นี่เป็นราคาปราณี บางที่รูปละเป็นพันก็มี) ยิ่งเมื่อบวกกับสารพัดวิธีหว่านล้อม ไม่ว่าจะพูดให้รู้สึกผิด ลบรูปให้ดูต่อหน้า หรืองัดวิธีทางจิตวิทยาด้วยการบอกเจ้าสาวว่า ‘คุณประหลาดมากที่ไม่เลือกรูปเยอะๆ’ ก็ยิ่งทำให้รู้สึกไม่ดีไปกันใหญ่ สุดท้ายก็เลยตัดสินใจเลยซื้อมา ทำให้งบบานแบบงงๆ
- ถ้าในแพคเกจไม่ได้บอกว่าให้ใช้ชุดแต่งงานในร้านได้ทุกชุด บางชุดต้องมีการจ่ายเงินเพิ่ม อันนี้เราควรเช็คก่อนว่า เงินที่เพิ่มเมื่อเทียบกับการเช่าชุดแต่งงานจากร้านข้างนอก แบบไหนคุ้มกว่า หรือถ้ากรณีเซลล์ของคุณ บอกว่าให้เลือกได้ทุกชุด เป็นกรณีพิเศษเลยนะคะ ก็ต้องดูด้วยว่าที่เค้าพูดนี้ ถูกกระบุไว้เป็นลายลักษณ์อักษรในสัญญารึเปล่า เพราะถ้าเกิดมีการเปลี่ยนเซลล์ระหว่างทาง เซลล์ที่มาดูแลคนใหม่หรือผู้จัดการร้านอาจปฏิเสธไม่รับรู้ด้วย ต้องขอบอกไว้แต่เนิ่นๆ เลยว่าพอจ่ายเงินไปแล้ว อำนาจในการต่อรองลดลงเยอะจริงๆค่ะ
- สำหรับอีกเรื่องใหญ่ของชุดแต่งงาน คือทางร้านไม่ให้ลองก่อนวางเงิน ตอนเดินๆดูผ่านๆ เราอาจจะยังไม่ได้ถูกใจชุดแต่งงานที่เห็นในร้าน แต่เซลล์ก็อาจจะให้ความหวังมาก่อน ว่าเดือนนั้นเดือนนี้จะมีชุดแต่งงานเพิ่มมาอีกเป็นร้อยๆ ชุดเลยนะ ทำให้เราตกลงปลงใจจ่ายเงินไป เพราะคิดว่ามีเพิ่มมาอีกตั้งเยอะ มันต้องมีชุดแต่งงานที่ชั้นชอบบ้างแหละน่า แต่ถ้าตอนเดินสำรวจ เรายังไม่ชอบชุดแต่งงานไหนเลย ก็มีแนวโน้มว่าคุณไม่ชอบสไตล์ของร้านนั้น สุดท้ายก็มาจบลงตรงที่ต้องจำใจเลือกเพราะจ่ายเงินไปแล้ว หรือไปเสียเงินหาร้านข้างนอกใหม่แบบรีบๆ
- ในแพคเกจบอกว่าให้ช่างภาพวันงานด้วย 1 คน ดูเหมือนจะคุ้ม แต่วันงานจริง ปกติต้องมีช่างภาพอย่างน้อย 2 คน และต้องมีอุปกรณ์ไฟสตูส่องสว่างใดๆไปอีกนะคะ ซึ่งในส่วนนี้ต้องดูว่ามีค่าใช้จ่ายเพิ่มเท่าไหร่ ข้อเสียของช่างภาพที่ได้แถมมาคือ เราไม่เคยเห็นผลงานถ่ายภาพในวันจริง จะทราบได้อย่างไรว่าถูกใจเราหรือไม่ เพราะฉะนั้นอย่าลืมขอดูผลงานก่อนด้วย
- ในแพคเกจรวมช่างแต่งหน้าวันงานให้ โดยบอกว่าจะได้ลองในตอนวันถ่ายพรีเวดดิ้ง ถ้าถูกใจ จะแต่งหน้าให้ในวันงานด้วยเลย แต่ปัญหาคือกว่าจะได้ถ่ายพรีเวดดิ้งก็ใกล้ๆ ไม่กี่เดือนก่อนวันงาน ถ้าเกิดไม่ชอบขึ้นมา ช่างแต่งหน้าวันจริงก็จะคิวเต็มไปหมดแล้ว (เพราะวันฤกษ์ดีชนกันไปหมด) แล้วพอถึงตอนนั้นก็ต้องมาหัวหมุนหาช่างแต่งหน้ากันใหม่
- ค่ายกกอง อันนี้เป็นค่าใช้จ่ายมโนที่พูดให้เรารู้สึกคุ้มค่าค่ะ เพราะปกติถ้าถ่ายรูปแต่งงานกันในกรุงเทพ เวลาจ้างช่างภาพฟรีแลนซ์มา เขาก็จะรับผิดชอบค่าเดินทางมาเอง หรือถ้าเป็นต่างจังหวัดก็จะคิดค่าเดินทางตามจริง
(ถ้าไปหัวหินประมาณ 2-3พันบาท) เพราะฉะนั้นถ้าสตูดิโอไหนที่แจ้งค่าใช้จ่ายส่วนนี้มากเกินจริง ก็ต้องดูกันให้ดีๆค่ะ
- จำนวนเสื้อผ้าถ่ายพรีเวดดิ้งที่ดูเหมือนจะเยอะ มีทั้งไทยจีนฝรั่งเต็มพิกัด แต่จำนวนชุดที่กำลังดี เหมาะสมกับการถ่ายพรีเวดดิ้งจริงๆ ยังไงก็จะอยู่ที่ประมาณ 3-4 ชุดค่ะ (เพราะฉะนั้นการได้จำนวนชุดเยอะๆ จึงไม่ได้ทำให้คุ้มค่าขึ้นแต่อย่างใด) สู้ถ่ายน้อยชุด แล้วได้รูปสวยๆ คุณภาพดีดีกว่า หรือถ้าไปจ้างช่างภาพข้างนอกมา เสื้อผ้าส่วนใหญ่ก็เป็นชุดที่เรามีอยู่แล้ว และเพิ่มชุดแต่งงาน (ถ้าอยากได้) เข้าไปอีกชุดนึง แบบนี้สิถึงจะถือว่าคุ้มจริงๆ
ขอย้ำอีกครั้งว่าจริงๆ แล้ว การใช้บริการสตูดิโอไม่ใช่เรื่องไม่ดีนะคะ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของคุณเจ้าสาว เพียงแต่ต้องหาข้อมูลให้ครบถ้วน อ่านรีวิวเยอะๆ และฟังฟีดแบคจากคนที่เคยใช้บริการมาก่อน ไม่อย่างนั้นถ้าเจอแบบที่ไม่ดีเข้า เสียเงินไม่เท่าไหร่ แต่ที่สำคัญคือต้องมานั่งเสียอารมณ์นี่แหละ ลองเอารายการข้างบนนี้ไปเช็คกับที่ที่คุณจะเลือกกันดูๆนะคะ เพราะเราอยากให้เจ้าสาวมีความสุขระหว่างเตรียมงานแต่งกันด้วยค่ะ