The Apothecary Venue สถานที่แต่งงานสวนสวยตรงใจ
แหม่มอยากได้งานที่บรรยากาศได้ฟีลสวน มีดอกไม้เยอะๆ ซึ่งคิดว่าถ้าจัดในโรงแรม ต่อให้ขนดอกไม้เข้าไป ฟีลมันก็ไม่ได้เหมือนจัดในสถานที่จริง แล้วพอมาเจอ The Apothecary Venue (ดิ อะพอธธิคารี) ที่สถานที่สวย มีสวน ก็ชอบเลยค่ะ นอกจากนี้แหม่มเองก็งานยุ่ง ไม่อยากต้องมาจัดการหลายเรื่อง ไม่อยากมานั่งเลือกหาร้านดอกไม้หรือทีมออแกไนซ์ มาจัดที่นี่คือจบ เพราะทางสถานที่ช่วยจัดการให้ทุกอย่าง
ได้งานแต่งที่ใช่ แค่ให้ Mood Board กับทางสถานที่
ตอนที่เตรียมงานกับทาง The Apothecary Venue ง่ายมากค่ะ เขาจะคอยบอกว่าต้องทำอะไรบ้าง เริ่มจากอะไรก่อนหลัง มีลำดับสิ่งที่ต้องทำมาให้เลย ตอนบรีฟงาน เราแค่บอกว่าอยากได้สไตล์ไหน เขาก็จะดีไซน์งานออกมาให้ โดยที่แหม่มแทบไม่ได้บอกอะไร ส่งแค่ Mood Board ไปให้เขาดูรูป แต่งานที่ออกมาก็ถูกใจค่ะ
แหม่มอยากได้งานสบายๆ ไม่ดูพิธีการมากไป เน้นสวย เป็นธรรมชาติ ดอกไม้เยอะๆ ซึ่งตรงส่วนสวนเราจัดเป็นเก้าอี้ขนาบข้างทางเดินเหมือนงานฝรั่ง บริเวณด้านหน้าลานพิธีมีดอกไม้ประดับที่พื้น และมีป้ายชื่อบ่าวสาวแขวนไว้ ส่วนข้างในเรือนกระจกชั้นล่าง เราจัดเป็นโต๊ะสำหรับลงทะเบียนและแจกของชำร่วยค่ะ ชั้นบนใช้จัดพิธีหมั้น เป็นส่วนที่ตกแต่งไม่มาก เพราะสถานที่สวยอยู่แล้ว มีแค่ดอกไม้ตรงที่รดน้ำสังข์เท่านั้น สำหรับห้องจัดเลี้ยง เราใช้ Luna Hall ค่ะ ด้านในก็จะจัดเป็นโต๊ะยาวจำนวน 2 โต๊ะ 88 ที่นั่ง มีโต๊ะสำหรับครอบครัวอยู่หน้าสุด
อาหารอร่อย จัดสวยถูกใจตามธีมงาน
แหม่มเลือกจัดเลี้ยงแบบ sit down lunch มีโต๊ะสำหรับแขกผู้ใหญ่ เพราะอยากให้ทุกคนนั่งสบายๆ ไม่ต้องเดินไปต่อคิวตักอาหารเอง ซึ่งแขกแค่ไปนั่ง ก็มีคนมาเสิร์ฟให้ถึงที่เลยค่ะ โดยอาหารที่เราใช้ทั้งหมด ทางสถานที่เป็นคนจัดการให้ค่ะ เขาดีลกับทาง I Do Catering อยู่แล้ว จัดออกมาสวยงาม เข้ากับธีมงานแต่งเลยค่ะ ซึ่งฟีดแบคแขกมีแต่คนชมว่าอร่อย จัดสวย เราก็ปลื้ม
ชุดเจ้าสาว แหม่มเลือกชุดขาวมีลาย เป็นสีขาวมีลายดอกไม้เล็กๆ น่ารัก สีสดใส แหม่มชอบสไตล์นี้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องสีขาวล้วนก็ได้ แค่เลือกตามที่ตัวเองชอบค่ะ ซึ่งมันก็เข้ากับสไตล์งานที่เราต้องการพอดีด้วย แหม่มได้ชุดก่อนได้สถานที่อีก(หัวเราะ) ส่วนชุดของแขก เรากำหนดเป็นสี Blush Ivory และ Mauve ตามสีธีมงาน เพราะรู้สึกว่าเป็นสีที่น่ารักค่ะ
สำหรับของชำร่วย แหม่มเป็นคนชอบเที่ยว จึงเลือกเป็น Baggage Tag แท็กติดกระเป๋าเดินทาง แหม่มรู้สึกว่า ให้คนที่ไปต่างประเทศแขวนกระเป๋าก็น่ารักดี ซึ่งของที่ให้จะไม่มีชื่อแหม่มและแฟนค่ะ มีแค่ป้ายเขียนขอบคุณข้างหน้า และชื่อบ่าวสาวเป็นกระดาษที่เอาออกได้อยู่ข้างใน คนที่เอาไปจะได้ไม่เขินตอนใช้(หัวเราะ)
ปรับโฟลว์งาน เปลี่ยนให้เข้ากับสไตล์
งานเราเน้นความอบอุ่น แขกที่เชิญมาคือคัดมาแล้วว่าเป็นคนที่สนิทจริงๆ ซึ่งงานช่วงเช้ามีแขกแค่ 50 คน และงานเลี้ยงมีแขก 200 คนเท่านั้นค่ะ โดยพิธีเริ่มจากแห่ขันหมาก กั้นประตู แล้วเจ้าบ่าวก็มารับแหม่มที่รออยู่ที่เรือนกระจกชั้นล่าง จากนั้นเราก็ขึ้นไปทำพิธีด้านบน คือสวมแหวนแบบไทย พิธียกน้ำชา ต่อด้วยรดน้ำสังข์ จากนั้นแหม่มก็จะไปเปลี่ยนชุด แล้วลงไปทำพิธีต่อด้านล่างค่ะ
ตอนเปิดตัวเจ้าสาว แหม่มเดินควงแขนคุณพ่อไปหน้าลานพิธี พอไปยืนด้านหน้าแล้ว ก็มีสัมภาษณ์นิดหน่อย และทำการแลกแหวนกันอีกครั้ง ที่จริงตอนนี้จะเป็นช่วงให้บ่าวสาวพูด แต่แหม่มไม่ชอบพูดอะไรต่อหน้าคนอื่น แล้วคิดว่าถ้าตัดออก พิธีจะไม่มีอะไรเกินไป จึงเปลี่ยนมาเป็นสวมแหวนแทนค่ะ เสร็จแล้วก็พูดขอบคุณแขก จากนั้นก็โยนดอกไม้หน้าห้อง Luna Hall และเข้าไปนั่งถ่ายรูปที่โต๊ะครอบครัว ต่อด้วยตัดเค้ก แล้วนำเค้กไปให้ผู้ใหญ่ ปิดท้ายด้วยการทานอาหารด้วยกัน
งานนี้แหม่มประทับใจดอกไม้และอาหารมากๆ งานที่ออกมาได้อย่างที่คิดไว้เลย ทาง The Apothecary Venue จัดได้สวยงาม ตอนแรกแหม่มอยากได้ดอกป๊อปปี้ แต่ช่วงที่แหม่มแต่งงานมันไม่มี เขาก็พยายามไปหาดอกไม้ที่คล้ายกันมาให้ เพื่อให้ออกมาถูกใจเราที่สุด เรื่องอาหารก็รสชาติอร่อยและจัดออกมาได้สวยงามจนแขกชมกัน ดีมากเลยค่ะ
แนะนำบ่าวสาว
กำหนดงบงานแต่งให้ดี : ดูว่าเรามีเท่าไหร่ แล้วค่อยเลือกสถานที่และทุกอย่างที่ต้องการ เพราะถ้าไม่ได้กำหนดไว้แต่แรก อาจคุมไม่อยู่ งบบานปลายค่ะ