Siam Kempinski Hotel Bangkok สถานที่แต่งงานทำเลดี มีระดับ มาตรฐาน 5 ดาว
เราจัดงานหมั้นแบบไทยและงานฉลองที่ Kempinski Hotel Bangkok (โรงแรมสยามเคมปินสกี้ กรุงเทพฯ) ค่ะ กว่าจะลงตัวที่นี่เราไปดูหลายที่มาก เพราะเราเองเคยเป็นแขกมาก่อนจึงรู้ว่าสถานที่จัดงานแต่งงานเป็นสิ่งสำคัญในการเอื้ออำนวยความสะดวกให้แขกพอสมควร
ซึ่งโรงแรมนี้ตอบโจทย์ที่สุด ทั้งเรื่องทำเลที่ตั้ง การเดินทางสะดวกสบาย จอดรถง่าย หาห้องจัดงานไม่ยากจนเกินไป หากมาจากล็อบบี้เดินขึ้นบันไดวนก็ไปห้องจัดงานได้เลย ในขณะเดียวกันขนาดของห้องจัดงานก็สามารถรองรับจำนวนแขกที่เราคาดการณ์ไว้ประมาณ 500 ท่านได้ ที่สำคัญยังมีบรรยากาศและการออกแบบโดยรวมที่ดูสวยงาม หรูหรา มีระดับ เป็นสิ่งที่เราพอใจค่ะ
จัดงานให้หรูดูแพง สีแดง-ทอง เอาอยู่
เราปรึกษากันถึงคอนเซ็ปต์งานว่าอยากตกแต่งสไตล์สีสดหรือเน้นสีสันสดใส ประกอบกับตัวเองชอบสีแดงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงลงตัวที่สีแดง Burgundy และสีทอง โดยได้นำไปประดับตกแต่งตามสิ่งต่างๆ ในงาน ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ ชุดเพื่อนเจ้าสาวหรือชุดของคุณแม่ทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวเองด้วยค่ะ
ซึ่งแม้เราจะกำหนดธีมสีนี้เป็นสีหลัก ทว่าสำหรับแขกที่มาร่วมงาน เราก็ไม่ได้บังคับเลย เขาสามารถใส่โทนสีไหนมาก็ได้ แต่จากข้อมูลในการ์ดงานแต่งประกอบกับการสอบถามสีของธีมงานจากเรา สุดท้ายแขกส่วนมากก็ยังเลือกใส่ชุดตามธีมสีงานอยู่ดีค่ะ(หัวเราะ)
เมื่อได้ธีมสีแล้ว เราก็บรีฟรายละเอียดของการจัดงานกับซัพพลายเออร์ต่างๆ ที่ส่วนใหญ่ได้เลือกมาจากอินเทอร์เน็ต ทั้งผ่านการดูรีวิวจาก SabuyWedding และ Instagram ค่ะ
ในส่วนดีเทลการจัดวาง Backdrop จุดลงทะเบียนและส่วนต่างๆ ภายในงานนั้นมาจากความชอบและการตัดสินใจของเราสองคนเป็นหลัก เสริมด้วยคำแนะนำจากทางเซลล์ของโรงแรมที่คอยช่วยเหลือและให้ความเห็นเรื่องการจัดงานได้เป็นอย่างดี แต่ก็มีปรึกษาผู้ใหญ่ในแง่ความเหมาะสมของพิธีการบ้าง เนื่องจากอาจมีดีเทลบางอย่างที่เราอาจคิดไม่ถึงค่ะ
พิธีการเรียบง่าย ทำได้ครบจบทุกอย่างในวันเดียว
สำหรับพิธีการ เราแบ่งเป็น 3 ช่วง คือ พิธีหมั้นช่วงเช้า เริ่มประมาณ 07:00 น.ค่ะ จะเป็นพิธีแห่ขันหมาก สู่ขอ จากนั้นจึงไปรับตัวเจ้าสาวเพื่อทำพิธีหมั้น สวมแหวน กราบพ่อแม่ขอขมา โดยมีการประกอบพิธีสงฆ์เพื่อความเป็นสิริมงคลด้วย ต่อมาก็เป็นช่วงรดน้ำสังข์ค่ะ ซึ่งเมื่อพิธีเสร็จสิ้น แขกญาติผู้ใหญ่ก็จะรับประทานอาหารที่เสิร์ฟให้ทั้งเมนูเบาและเมนูหนักท้อง จากนั้นจะเป็นเวลาว่างให้แขกพักผ่อนตามอัธยาศัยค่ะ
พิธีเช้านี้เนื่องจากแขกมีแค่ 100 กว่าท่าน เราจึงกั้นห้องใช้แค่ส่วนกลางกินพื้นที่จัดงานประมาณ 1 ใน 3 ของห้องบอลรูมเท่านั้น บรรยากาศในงานจะได้ดูไม่โล่งไปค่ะ และในส่วนของ Backdrop เวทีนี้ เราก็ใช้อันเดียวกับพิธีฉลองเลยเพื่อให้คุ้มค่าค่ะ
ช่วงที่สองเป็นพิธีฉลองตอนกลางคืน ซึ่งเวลาตามกำหนดการงานจะเริ่ม 18.00 น. แต่แขกส่วนใหญ่มาเร็วเพราะกลัวรถติด ดังนั้นห้าโมงกว่าแขกก็มายืนรอต่อแถวเพื่อถ่ายรูปกับบ่าวสาวกันเต็มแล้วค่ะ(หัวเราะ) ซึ่งจุดถ่ายภาพหลักนั้นเราจัดให้อยู่บริเวณหน้าห้องจัดงานที่ทุกคนจะต้องเดินผ่านมินิแกลอรี่มาก่อนค่ะ
ไม่ไกลจากกันมากจะมีจุดลงทะเบียนอยู่ ซึ่งตอนที่ลงทะเบียนแขกจะได้รับของชำร่วยกลับไปด้วย ซึ่งเราเลือกเป็นหน้ากากอนามัยแบบผ้าปักโลโก้เป็นตัวอักษรย่อของชื่อเราสองคน เพราะอยากได้ของที่ใช้ประโยชน์ได้จริงและเข้ากับสถานการณ์ Covid19 ช่วงนี้พอดีค่ะ
ช่วงพิธีฉลองเราเปิดใช้ห้องบอลรูมเต็มพื้นที่รองรับแขกกว่า 500 ท่าน โดยจัดเลี้ยงอาหารเป็นแบบค็อกเทล บุฟเฟ่ต์ร่วมสมัย มีทั้งเมนูไทยและตะวันตก แล้วยังได้เสริมโต๊ะกลมพิเศษจำนวน 12 โต๊ะ ไว้รองรับแขก VIP ด้วยค่ะ
หลังจากใช้เวลาถ่ายรูปหน้า Backdrop กับแขกไปชั่วโมงกว่าก็ได้เวลาเปิดตัวบ่าวสาว โดยตอนแรกจะเปิด Presentation ก่อน แล้วเจ้าสาวถึงเดินเข้างานพร้อมคุณพ่อคุณแม่เพื่อพบเจ้าบ่าวที่รอตรงกลางห้อง จากนั้นเราสองคนก็จะเดินขึ้นเวทีไปด้วยกัน และเชิญประธานมากล่าวเปิดงาน อวยพรบ่าวสาว ต่อมาพิธีกรก็จะสัมภาษณ์บ่าวสาวถึงความรู้สึกในใจ ตามด้วยตัดเค้กและโยนดอกไม้ค่ะ ซึ่งช่วงพิธีการนี้เราเน้นความเรียบง่าย พยายามทำให้พิธีสั้นกระชับที่สุด เพื่อที่แขกจะได้เอ็นจอยกับงานเต็มที่ เราสองคนเองก็จะได้ใช้เวลาขอบคุณแขกด้วยตัวเองอย่างใกล้ชิดค่ะ
หลังจากพิธีทางการเสร็จสิ้น ก็ถึงช่วงเวลาแห่งความมันส์กับ After Party ในระหว่างที่เราไปเปลี่ยนชุด พิธีกรและเพื่อนเจ้าบ่าวก็จะเข้ามาทำหน้าที่ช่วยสร้างความสนุกด้วยการชวนแขกเล่นกิจกรรมตอบคำถามเพื่อรับรางวัลเป็น Voucher Afternoon Tea ของทางโรงแรม และ Gift Voucher ของทางห้างสรรพสินค้า
หลังจากที่เปลี่ยนชุดแล้วเราก็กลับเข้ามาในงาน และเริ่มช่วงที่สามด้วยการรินแชมเปญด้วยกัน เพื่อเปิด After Party อย่างเป็นทางการ โดยช่วงเวลานี้เราได้กลับมากั้นห้องให้เล็กลงเหลือพื้นที่เท่ากับช่วงเช้าอีกครั้งด้วยค่ะ
กำลังใจจากคนใกล้ชิดเป็นสิ่งสำคัญ
วันที่แต่งงาน จริงๆ ก็เครียดเหมือนกันค่ะ ตอนนั้นเราเหมือน Bridezilla เลย คือมีความกดดัน กังวลสารพัด เพราะคาดหวังว่างานแต่งต้องเพอร์เฟ็กท์ที่สุด ฉะนั้นหากเกิดอะไรที่ไม่เป็นดั่งใจก็จะเกิดอาการเฟล แต่โชคดีที่ได้คนใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อคุณแม่ของเราหรือคุณพ่อคุณแม่ของเจ้าบ่าวที่คอยพูดให้กำลังใจให้ผ่อนคลาย รวมทั้งคนสำคัญอย่างเจ้าบ่าวที่คอยจับมือและพูดให้กำลังใจตลอดเวลา จนความกดดัน ความกังวลค่อยๆ หายไป กลายเป็นว่าวันนั้นเจ้าบ่าวใจเย็นที่สุด นิ่งที่สุด เราเองก็เลยใจเย็นและนิ่งตามเขาไปด้วยค่ะ
แม้ว่าระหว่างงานจะมีความกดดันและเครียดอยู่บ้าง ทว่าพอจบงานกลับพบว่าไม่มีปัญหาอะไรใหญ่โตหรือจัดการไม่ได้เลย ทุกปัญหาสามารถแก้ไขได้ทันท่วงที นั่นจึงทำให้เราประทับใจทุกอย่างภายในงาน รวมถึงประทับใจในความเป็นทีมเวิร์คของซัพพลายเออร์ทุกทีมที่เข้ามามีส่วนร่วมทำให้งานสวยงามและราบรื่นค่ะ
แนะนำบ่าวสาว
คุยด้วยภาพ เข้าใจง่ายกว่า : ยิ่งทำงานด้วยกันหลายฝ่าย เรายิ่งต้องทำให้แต่ละฝ่ายเข้าใจไปในทิศทางเดียวกันให้ได้ ดังนั้นควรสื่อสารด้วยภาพเพื่อความเข้าใจตรงกัน อาจหาภาพ Reference จากอินเทอร์เน็ตที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่เราต้องการมากที่สุดมาให้ดู เพราะการพูดเพียงอย่างเดียว บางทีจะทำให้คนอื่นคิดไปตามจินตนาการของเขา และทำงานออกมาไม่ตรงใจบ่าวสาวจนเกิดการแก้ไขไปมาไม่มีที่สิ้นสุดได้ค่ะ
ควบคุมงบประมาณ ไม่งั้นจะบานปลาย : ควรกำหนดงบให้ชัดเจนตั้งแต่แรก เพราะถ้ากำหนดไม่ชัดจะบานปลายง่ายมาก เนื่องจากเวลาเรานึกอะไรใหม่ๆ ขึ้นได้ ก็จะเริ่มจ่ายเรื่อยๆ ซึ่งแม้ตอนจ่ายจะดูเป็นค่าใช้จ่ายยิบย่อย แต่พอมาคิดรวมจริงๆ จะพบว่ากลายเป็นเงินก้อนใหญ่ที่อาจตกใจได้เลยค่ะ
Photo : Napat