พิธีหมั้นที่มาจากใจ ได้ความรู้จากคนในครอบครัว
งานของถิงโชคดีที่ได้อาม่า มาเป็นหัวเรือใหญ่ให้เราค่ะ พิธีต่างๆ เลยออกมาแบบครบครัน และมีความหมายดีมาก เราจะเริ่มจากทานอาหารที่บ้านเจ้าสาวก่อน ซึ่งจำนวนของอาหารกับชื่อของแต่ละอย่าง จะต้องมีความหมายมงคลด้วยค่ะ อย่างเป็ด ไก่ ผัดผัก และปลานึ่ง ซึ่งอย่างหลังเขาเชื่อกันว่า ทานแล้วจะเฮง เวลาทานก็ต้องมีพิธี คือต้องให้คุณพ่อคุณแม่เป็นฝ่ายป้อนให้ แต่ของถิงจะมีอาม่าเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งคนเป็นบุคคลพิเศษ เหมือนเขาสื่อความหมายเป็นนัยๆ ว่า เป็นการป้อนส่งลูกเป็นมื้อสุดท้ายก่อนจะส่งตัวไปค่ะ
เจ้าสาวรอเจ้าบ่าวมารับตัว
หลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว เจ้าสาวจะต่อด้วยการไหว้เจ้าที่ และไปนั่งรอเจ้าบ่าวในห้องที่จัดเตรียมไว้ ในมือต้องถือพัด แต่ห้ามกางพัด เพราะถ้ากางที่บ้านเรา แปลว่าจะโกยเงินออก แต่ถ้าไปกางที่บ้านเจ้าบ่าว ก็แปลว่า จะไปโกยเงินจากบ้านเขามาหาบ้านเรา เราเลยใช้วิธีไม่กางไปตลอดพิธีเลยแล้วกัน (หัวเราะ) ส่วนด้านบนศีรษะ จะต้องมีเครื่องประดับเป็นปิ่นปักผม ที่คุณแม่เป็นคนปักให้ แล้วทับด้วยใบทับทิมอีกชั้นนึงค่ะ
เจ้าบ่าวรับตัวเจ้าสาว
เมื่อเจ้าบ่าวมาถึง คุณพ่อ คุณแม่ และพี่น้องของเจ้าสาว จะต้องไปหลบอยู่ที่อีกห้อง ในส่วนนี้เหมือนเป็นการถือเคล็ด กันไม่ให้ปะทะหรือทะเลาะกัน หลังจากนั้นเจ้าบ่าวก็ต้องผ่านด่านคนกั้นประตูมาเรื่อยๆ จนขึ้นมาถึงด้านบนห้อง และได้เจอกับเจ้าสาว และรับเจ้าสาวลงมาไหว้เจ้าที่ รวมถึงยกน้ำชา ทานขนมอี๊และไข่ต้มด้วยกัน โดยต้องผลัดกันป้อนอีกฝ่ายนึงด้วยค่ะ
ช่วงพิธีส่งตัวฝ่ายเจ้าสาวไปบ้านเจ้าบ่าว
เริ่มจากคนถือตะเกียง ซึ่งต้องขึ้นก่อนเป็นคนที่หนึ่ง และให้นั่งข้างคนขับ ต่อด้วยคนถือตู้เซฟ จะต้องขึ้นเป็นคนที่สอง นั่งหลังคนขับ ส่วนเจ้าสาวขึ้นเป็นคนที่สาม นั่งตรงกลางด้านหลัง และเจ้าบ่าวขึ้นเป็นคนสุดท้าย เพื่อปิดประตูให้เจ้าสาวค่ะ ส่วนทิศทางการจอดรถ ต้องเลือกหันหัวไปตามทิศที่หมอดูบอก ว่าปีไหนทิศไหนดี ถ้าสมมติว่าจอดบริเวณบ้านยาก อาจต้องหาวิธีหมุนหาทิศกันนิดนึง บางครั้งอาจต้องย้ายไปจอดนอกบ้านกันเลยก็มี และแน่นอนว่า ตอนไปถึงบ้านเจ้าบ่าวแล้ว ก็ต้องจอดรถตามทิศมงคลด้วยเช่นกัน
เมื่อถึงบ้านเจ้าบ่าวให้ใช้สูตร ใครขึ้นทีหลังลงก่อน
ดังนั้นเท่ากับว่า เจ้าบ่าวจะต้องได้ลงเป็นคนแรก ตามมาด้วยเจ้าสาว คนถือเซฟ และคนถือตะเกียงตามลำดับค่ะ พอลงมาเสร็จ เจ้าบ่าวเจ้าสาวก็สามารถเดินนำเข้าบ้านไปไหว้เจ้าที่ได้เลย (และคุณพ่อคุณแม่เจ้าบ่าว ก็ต้องไปหลบเจ้าสาวก่อนด้วย) หลังจากนั้นคนถือตะเกียงกับคนถือเซฟ ก็จะนำสองสิ่งนี้ไปวางในห้องให้เรา
ปกติถ้าเป็นสมัยก่อน เราต้องเปิดตู้เซฟโชว์ เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่เจ้าบ่าวได้เชยชมของที่อยู่ข้างในด้วย แต่พอเป็นสมัยใหม่เขาก็อนุญาตให้ตัดตอนได้ เพื่อไม่ให้ละลาบละล้วง ซึ่งของในเซฟจะเป็นเหมือนสินสอดที่บ้านฝ่ายหญิงให้ติดตัวมาค่ะ อาจจะเป็นเครื่องประดับ เครื่องเพชร หรืออะไรก็ว่าไป แล้วจะมีของทางฝั่งเจ้าบ่าวร่วมอยู่ด้วยเหมือนกัน เรียกว่าถ้าได้สินสอดมาก่อนหน้านั้น ก็ต้องไปถอนออกมาจากธนาคาร เพื่อใส่เซฟนี้ด้วยเลยค่ะ (หัวเราะ)
ทานขนมอี๊ และยกน้ำชาที่บ้านเจ้าบ่าว
กินบัวลอยและไข่ต้ม 2 ลูกอีกครั้ง โดยฝั่งเจ้าบ่าวต้องเตรียมซองให้กับฝั่งเจ้าสาวด้วย สำหรับซองในส่วนนี้ ฝ่ายเจ้าบ่าวจะต้องมอบให้กับคนถือตะเกียงและคนถือตู้เซฟค่ะ หลักการคือ คนถือตะเกียง เราต้องเลือกญาติฝั่งเจ้าสาวที่เป็นผู้ชายที่มีลูกชายแล้ว ของถิงเลยเป็นอากู๋ที่มีลูกชายแล้ว ส่วนคนถือตู้เซฟ แค่เป็นญาติหรือคนสนิทที่เป็นผู้ชายก็พอ งานถิงเลยเป็นพี่ชายแท้ๆ ของถิงเองค่ะ
ปิดท้ายด้วยการลงมาทานอาหาร และยกน้ำชาให้คุณพ่อคุณแม่เจ้าบ่าว แต่สิ่งนึงที่เก๋มากคือ หลังจากนั้นเจ้าสาวจะต้องอยู่ในบ้านเจ้าบ่าว ห้ามออกไปไหน 3 วันค่ะ อารมณ์ว่า เจ้าบ่าวออกไปทำงานได้ตามปกติ ส่วนเราก็อยู่ในนั้นไปเลย เป็นเหมือนเคล็ดให้อยู่ให้ติดบ้านยังไงยังงั้น (หัวเราะ)
เคล็ดดีๆ กับฤกษ์ปูเตียง
จริงๆ แล้วก่อนจะถึงวันรับตัวจริง ยังมีเคล็ดอีกอย่างหนึ่งที่ต้องถูกจัดเตรียมไว้ตั้งแต่แรกเลย นั่นคือฤกษ์ปูเตียง ซึ่งจะทำกันประมาณ 3 วัน ก่อนถึงวันรับตัวจริงค่ะ ในส่วนนี้คุณพ่อคุณแม่เจ้าบ่าวจะมาปูเตียงเตรียมไว้ หรือถ้าหากคุณพ่อคุณแม่ไม่สะดวก เน้นว่าให้เป็นญาติผู้ใหญ่ที่มีชีวิตคู่ที่ดีก็โอเคแล้วค่ะ โดยทางฝั่งเจ้าบ่าวเขาจะมีการเตรียมเมล็ดพันธุ์ 5 ชนิดมาใส่ไว้ในถุง มัดปากถุง วางไว้บนเตียง และยังมีส้มอีก 5 ลูกด้วย พอถึงวันรับตัว บ่าวสาวต้องเป็นคนทานเองทั้งหมด ห้ามให้คนอื่นทาน ส่วนเมล็ดพันธุ์ก็เก็บไว้ ซึ่งในส่วนของส้มนั้นจะมีรายละเอียดการในทานอีกเล็กน้อย คือต้องทานให้หมดในคืนวันที่รับตัวเลย(ห้ามข้ามคืนเด็ดขาด) และเจ้าบ่าวต้องเป็นคนแกะส้ม เจ้าสาวห้ามแกะเอง ส่วนส้มหนึ่งลูกก็ห้ามทานคนเดียว บ่าวสาวต้องแบ่งกันคนละครึ่งค่ะ
แนะนำบ่าวสาว
บรีฟญาติให้ตรงกัน : ควรจะนัดคุยกันก่อนล่วงหน้าเลยค่ะ ว่าวันงานจริงจะมีขั้นตอนพิธีการแบบไหนบ้าง เพราะญาติเราก็มีหลายคนหลายฝ่าย แต่ละคนก็ผ่านมาคนละแบบ คนละหลักสูตร ถ้าไม่คุยกันก่อนเลยพอมาถึงวันจริงคนนู้นจะให้ทำอย่าง อีกคนจะให้ทำอย่าง มันจะวุ่นวายไปหมด (ถึงทุกคนจะหวังดีกับเราก็เถอะ)
จดรายละเอียดใส่กระดาษไว้ จะได้ไม่ต้องกังวล : แอบกระซิบว่า เคล็ดทั้งหมดนี้หมอดูจะเป็นคนบอกเรา แล้วเราก็จะจดใส่กระดาษ และทำตามนั้นอีกทีค่ะ ซึ่งดูจากขั้นตอนทั้งหมดแล้วบ้านเราลงความเห็นกันเลยว่า ให้มีโพยได้ เพราะละเอียดและเยอะมาก (หัวเราะ) แล้วยิ่งเราไม่ได้จ้างออแกไนซ์ด้วย จดไว้กันพลาดน่าจะดีกว่า โชคดีที่ผู้ใหญ่ของเราเข้าใจ ขนาดอาม่าที่ว่าจีนมากๆ ก็ยังบอกว่าไม่ต้องซีเรียส บางอย่างถ้าทำผิดพลาดกันนิดๆหน่อยๆ ก็ไม่ต้องเครียด ไม่ต้องไปกังวลมาก เพราะจะเสียฤกษ์กันเปล่าๆ วันงานแบบนี้ควรจะเป็นวันดี เราควรทำใจให้สบาย อารมณ์ดี และมีความสุขที่สุดค่ะ