






กิ๊ก (เจ้าสาว) มีความฝันอยู่แล้วว่าถ้าแต่งงาน ต้องแต่งที่โรงแรมเท่านั้น เพราะผูกพันกับบรรยากาศงานแต่งแบบโรงแรมมาตั้งแต่ยังเด็ก หลังจากคุณแบงค์ (เจ้าบ่าว) ขอแต่งงานที่ดิสนีย์แลนด์ฮ่องกง แพลนงานก็เริ่มต้นขึ้นแบบจริงจัง โดยกิ๊กเริ่มจากกำหนดจำนวนแขกคร่าว ๆ ได้ 250 ท่าน แล้วก็ค้นหาสถานที่แต่งงานจาก SabuyWedding ค่ะ ซึ่ง Eastin Grand Hotel Sathorn (อีสติน แกรนด์ สาทร กรุงเทพฯ) ก็เป็นโรงแรมแรก ๆ ที่เราเปิดดูแพ็กเกจ แต่ตอนนั้นยังไม่ได้ปักใจ


ยอมเทมัดจำครึ่งแสน เพื่อเลือกสถานที่แต่งงานที่ใช่ที่สุด!
เราไปดูอีกโรงแรมนึง จ่ายมัดจำไปแล้วด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายกิ๊กก็เปลี่ยนใจ แล้วนัดคุณแป้ง เซลล์ของ Eastin Grand Hotel Sathorn เพื่อเข้ามาดูสถานที่จริง ยิ่งพอเปรียบเทียบแล้ว ที่นี่ตอบโจทย์กว่าทุกอย่าง ทั้งการเดินทาง ความสะดวกของแขก ความใส่ใจของเซลล์ และบริการคือดีมากค่ะ วันนั้นไปดูสถานที่แล้วเซ็นสัญญาเลย

อีกจุดที่ทำให้ตัดสินใจ ไม่ใช่มุมเทอร์เรซที่ใคร ๆ ชอบ แต่เป็นแชนเดอเลียร์ในห้องบอลรูมค่ะ กิ๊กชอบมาก เพราะให้ความรู้สึกหรูหรา ฟีลเจ้าหญิง แต่ไม่คลาสสิกเกินไป และทางโรงแรมเพิ่งติดตั้งจอ LED ได้ไม่นาน รวมถึงด้านข้างมีจอโปรเจคเตอร์ ทำให้แขกสามารถมองเห็นบรรยากาศงานได้ครบ ไม่ว่าจะนั่งตรงไหนค่ะ


ธีมงาน Luxury ผสมกลิ่นอายดิสนีย์ที่เจ้าสาวใฝ่ฝัน
กิ๊กคุยกับแบงค์ว่า อยากได้งานแต่งสไตล์ Luxury แต่เป็นความหรูหราที่อบอุ่น ไม่ “ตะโกน” แรงเกินไป งานช่วงเช้า เราจะเน้นตกแต่งสีครีม เอิร์ธโทน เรียบ ๆ เป็นธรรมชาติ เพื่อให้ดูอบอุ่นมากกว่าค่ะ

ส่วนงานฉลองกลางวัน สีหลักที่เลือกคือ Gold – Pink Gold ผสมโทนแดง Burgundy เพราะกิ๊กชอบเทศกาลคริสต์มาสและเจ้าหญิงเบลล์ จากเรื่อง Beauty and the Beast แบ็คดรอปในงานฉลองจึงเน้นดอกไม้สีแดง ต้นสน และบรรยากาศหน้าหนาวค่ะ

ชุดเจ้าสาวยาว 40 เมตร หนัก 10 กิโลกรัม แต่เป็น “เรา” มากที่สุด
เราเป็นบ่าวสาวที่ไม่ได้ลดน้ำหนักอะไรเลย (หัวเราะ) จึงอยากได้ชุดแต่งงานที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่องานเราเอง เลยเลือกตัดกับร้านที่ออกแบบชุดให้ตรงตามหุ่นได้ โดยชุดในพิธีหมั้น กิ๊กใช้ผ้าดัชเชสตัดเป็นกระโปรงสั้น เพราะไม่อยากใส่ชุดไทย
ส่วนชุดฉลองกลางวันเป็นผ้าซีทรู 2 ชิ้น สีเนื้อผสม off-white รวมกับผ้าลูกไม้ ความพิเศษคือทั้งชุดใช้ผ้าถึง 40 เมตร ความยาวหาง 3 เมตร น้ำหนักกว่า 10 กิโลกรัม ซึ่งดีไซเนอร์แก้เกมด้วยการทำตะขอเกี่ยวเป็นสิบตัว และให้ทีมรันคิวช่วยดูแลตอนเดินเลี้ยวซ้าย-ขวา แม้จะเดินลำบาก แต่กิ๊กชอบมากค่ะ เพราะมันคือ ‘เรา’ จริง ๆ และชุดออกมาสวยแบบที่ตั้งใจไว้


พิธีเช้าอบอุ่น รวดเร็ว และเรียบง่าย
พิธีหมั้นของเราค่อนข้างรวบรัด ตัดพิธีสงฆ์กับแห่ขันหมากออกไป ฤกษ์จริง ๆ ก็ไม่มี เอาฤกษ์สะดวกค่ะ โดยก่อน 08.09 น. เถ้าแก่แต่ละฝ่ายจะนั่งบนเวทีในห้องกรุงธนบุรี ชั้น 33 แล้วเจ้าบ่าวก็นำดอกไม้มารับตัวกิ๊ก ซึ่งนั่งรออยู่ในชั้นเดียวกัน เสร็จแล้วก็พากันเดินเข้าไปในห้องพิธี แล้วก็สวมแหวน รับไหว้ผู้ใหญ่ 14 คู่ และรดน้ำสังข์ จากนั้นก็เบรก 1 ชั่วโมง เพื่อเปลี่ยนชุดไปงานกลางวันค่ะ






พิธีฉลองเที่ยง แต่ย้อมบรรยากาศให้กลายเป็นค่ำคืนในฤดูหนาว
เนื่องจากงานเราจัดขึ้นในวันที่ 25 ตุลาคม 2568 ซึ่งเพิ่งประกาศการสวรรคตของพระพันปีหลวง ทางเราจึงปรึกษากับทีมงาน แต่ The Show must go on ค่ะ โชคดีที่งานเราไม่มีปาร์ตี้ ไม่มีการกล่าวไชโย และดนตรีเป็นสไตล์บรรเลงอยู่แล้ว จึงไม่ต้องปรับอะไรมาก เพียงแต่เพิ่มช่วงยืนไว้อาลัยก่อนเริ่มงานเข้ามาค่ะ
แม้จะจัดงานกลางวัน แต่เราอยากให้บรรยากาศเป็นฉากกลางคืน เลยใช้จอ LED ที่ดีไซน์ฉากพระอาทิตย์ตก แสงเหนือ ทุ่งดอกไม้มีหิงห้อยบิน ปราสาทและทุ่งดอกไม้ จบที่พลุ รวมกับใช้แสงไฟย้อมให้ห้องดูเหมือนงานกลางคืน พร้อม Dry Ice และ Bubble เรียกว่าจัดเต็มเลยค่ะ


พอแขกถ่ายรูปหน้าแบ็คดรอปกับเราแล้ว ก็ยังมีโฟโต้บูธ และกิมมิคในงานอย่าง “ตู้คีบตุ๊กตา” ที่มีตุ๊กตาหมีบ่าวสาว 48 ตัว พร้อมกับกันดั้มและอาร์ตทอยจาก Popmart “Cry for Love” แขกจอยกันมากค่ะ จนกลายเป็นอีกไฮไลต์ของงานเลย




ได้เวลาเริ่มงาน หลังพรีเซนเทชั่นจบลง คุณพ่อจะเดินพากิ๊กเข้ามา ส่วนแบงค์เปิดตัวจากเวที เดินลงมาผ่านเพื่อนบ่าวสาว แล้วก็รับตัวเราจากคุณพ่อเดินขึ้นเวทีด้วยกันค่ะ โดยพิธีกรก็จะพูดคุยกับเรา จากนั้นก็ให้คุณครูที่เคารพเป็นคนกล่าวอวยพร ต่อด้วยเพื่อนบ่าวสาวฝั่งละ 2 คน ขึ้นมาสปีช และเรากล่าว Vow ให้กันและกัน ซึ่งแขกตั้งใจฟังกันมากและน้ำตาแตกไปหลายคน เพราะเมื่อเราตัดพิธีที่ดูทางการออก เลยทำให้แขกโฟกัสและอินไปกับเราได้ง่ายขึ้นค่ะ





หลังจากนั้นก็ตัดเค้ก โยนช่อดอกไม้ กล่าวขอบคุณแขก พอเราเดินลงจากเวที วงดนตรีก็เล่นเพลง “Beauty and the Beast” ให้ ซึ่งดีมาก ๆ เพราะตั้งแต่เริ่มงานเหมือนมี hint อยู่แล้วว่า งานเราเหมือนการ์ตูนดิสนีย์เรื่องอะไรสักอย่าง จนมาเพลงนี้ ทุกคนก็ “อ๋อ” ทันทีค่ะ





ทีมงานดี พิธีการละมุน Perfect จนไม่มีอะไรให้กลับไปแก้ไข
จบงานแล้ว แขกชมว่าพิธีการไม่ยืดเยื้อ ดูอบอุ่น และอาหารอร่อยมาก เมนูที่เป็นที่พูดถึงมากที่สุดคือแซลมอนรมควัน และหมูกรอบจากห้องอาหารเชฟแมน โดยมีซอส 3–4 แบบให้เลือก ส่วนเมนูอื่น ๆ ก็รสชาติถูกปากคนไทย มีเนื้อสัตว์ครบ หมู เนื้อ ไก่ ปลา แนะนำเลยว่าอาหารที่นี่สุดยอดสมคำร่ำลือจริง ๆ ค่ะ

ถ้าย้อนเวลาได้ จะไม่แก้อะไรเลยค่ะ เพราะโรงแรมและทุกทีมเต็มที่มาก จนทำให้ลืมความกังวลไปเลย มองไปทางไหนทุกคนก็พร้อมซัพพอร์ต ทีมออแกไนซ์จัดดอกไม้ออกมาสมบูรณ์แบบ ทีมงานสแตนด์บายทุกจุด โรงแรมประสานงานดีมาก ทุกกระบวนการไหลลื่นจนเราไม่รู้สึกเครียดเลย


แนะนำบ่าวสาว
บอกความต้องการของตัวเองให้ชัด : ทำการบ้านเและบอกแต่ละทีมให้ละเอียด ว่าอะไรที่ชอบและไม่ชอบ ยิ่งมีเรฟ ยิ่งบรีฟชัด ทุกทีมยิ่งทำงานได้ตรงใจ
เลือกโรงแรมที่ “ใช่” จริง ๆ : ทั้งการเดินทางของแขก ฟังก์ชันห้อง อาหาร และบริการ
นอนเยอะ ๆ ก่อนวันงาน : อยากมีหน้าตาสดใส ต้องพักผ่อนจริง ๆ
Photographer : Ramer photography






