พิธีมงคลสมรสที่ทุกคนใฝ่ฝันถึง นอกจากจะต้องสวยงาม และเป็นที่น่าจดจำแล้ว ก็ยังต้องเป็นงานที่พิธีการดำเนินไปได้อย่างราบรื่นไม่มีติดขัด ช่วงพิธีการที่ศักด์สิทธิ์กินใจจะผ่านไปอย่างราบรื่นนั้น หนึ่งในปัจจัยที่หลายๆ คนอาจจะคาดไม่ถึงคือ ความสามารถของพิธีกร เพราะต้องเป็นผู้ที่ช่วยชี้แจงลำดับพิธีการให้แขกทุกท่านทราบ ช่วยเอ็นเตอร์เทน สร้างบรรยากาศสนุกสนาน ตลอดจนช่วยแก้ไขสถานการณ์ จากความเข้าใจไม่ตรงกันของผู้ใหญ่ ที่อยากมีส่วนร่วม แต่ไม่ได้เข้ามาร่วมเตรียมงานแต่งตั้งแต่แรก
เราได้รับเกียรติจาก ร้อยโทวิชัย เมืองนก หนึ่งในพิธีกรงานพิธีไทยผู้มากประสบการณ์ และความรู้ความสามารถ มาให้ความรู้เกี่ยวกับพิธีแต่งงานแบบไทย ปัจจุบันร้อยโทวิชัย มีตำแหน่งเป็น อนุศาสนาจารย์ ฝ่ายกิจการพิเศษ สังกัดกระทรวงกลาโหม ทำหน้าที่หลักในการอบรมศีลธรรม ให้กับทหารในสังกัด ดูแลพิธีกรรม และพิธีการต่างๆ ของกระทรวง นี่เองจึงเป็นสาเหตุให้ร้อยโทวิชัย ให้ความสนใจที่จะศึกษาพิธีกรรม ขั้นตอน ข้าวของเครื่องใช้ตามขนบธรรมเนียมประเพณีไทย งานพิธีมงคลสมรสอย่างจริงจัง
“พิธีกรรมต่างๆ ในงานแต่งตอนเช้า เป็นงานที่บรรพบุรุษของเราตั้งใจวางไว้อย่างลึกซึ้ง มีเป้าหมาย และจุดมุ่งหมายอย่างดี ประการแรกคือ เป็นการสอนคู่บ่าวสาวที่กำลังจะใช้ชีวิตร่วมกัน ประการที่สองคือ อยากจะให้คู่บ่าวสาวมีความทรงจำที่ดีในวันนั้น ประการที่สาม เป็นการรวมญาติ มันเป็นกุศโลบาย ของบรรพบุรุษไทยของพวกเรา”
ร้อยโทวิชัย ได้แบ่งปันเรื่องราวลำดับพิธีการในงานมงคลสมรสทั้ง 8 ขั้นตอน และความหมายในงานพิธีแต่งงานแบบไทย ตามที่ได้ศึกษามาเอาไว้ดังนี้
1. การเจริญพระพุทธมนต์
การเจริญพระพุทธมนต์ จุดมุ่งหมายหลักคือการประกอบพิธีโดยมีพระคุณเจ้า นำหน้าพิธีการต่างๆ จะได้ศักดิ์สิทธิ์ และมีการประพรมน้ำ พระพุทธมนต์ให้ แทนการหลั่งน้ำพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นศิริมงคลแก่คู่บ่าวสาว
ในขั้นตอนนี้ พระคุณเจ้าจะอัญเชิญบทพระปริตรต่างๆ มาอวยพรให้กับคู่บ่าวสาว เช่น อภยปริตร เป็นการอวยพรให้คู่บ่าวสาวฝันดี หรือมีลางดี บทมงคลสูตร พรรณนาถึงมงคล 38 ประการ เพื่ออวยพรให้คู่บ่าวสาวมีแต่ความสุขความเจริญ
2. การแห่ขันหมาก
หลายคนคงจะสงสัยว่าทำไมถึงเรียกว่า “ขันหมาก” เพราะในพานขันมากเอกที่เจ้าบ่าวจะใช้ในการสู่ขอเจ้าสาวนั้น ประกอบไปด้วยของมงคลต่างๆ และหนึ่งในนั้นก็คือหมาก ของมงคลเหล่านี้ ได้แก่
หมาก – ที่ถึงแม้จะมีรสฝาด แต่ก็เป็นยาสมานแผลในสมัยโบราณ เป็นดั่งการเปรียบเปรยว่า ให้คู่บ่าวสาวสมานใจ ซึ่งกันและกัน
ใบเงิน ใบทอง ใบนาก – เป็นการอวยพรให้คู่บ่าวสาวมีฐานะร่ำรวย
พลูเรียง – มีความหมายถึงการรวมญาติ ซึ่งต่อแต่นี้สองครอบครัวก็จะเรียงญาติ เรียงพี่น้องมีแต่ความรัก ความอบอุ่นในครอบครัว
ข้าวตอก ดอกไม้ ถั่วเขียว งาดำ – ธัญพืชมงคลเหล่านี้ มีความหมายถึงการอวยพรให้บ่าวสาวเจริญรุ่งเรืองมีฐานะ ขอให้มีหน้าที่การงาน ที่แบ่งบานเฉกเช่นเดียวกับข้าวตอก ส่วนถั่วเขียว และงาดำนั้น เป็นพืชมงคล เพราะอยู่ที่ไหนที่มีความชื้น ก็ขึ้นได้โดยง่าย เสมือนให้คู่บ่าวสาวนั้น มีความสุขความเจริญได้โดยง่าย
ดังนั้น “ขันหมาก” เป็นเหมือนเครื่องหมายแทนการสมานใจของคู่บ่าวสาว และเครือญาติของทั้งคู่เอาไว้นั้นเอง
เมื่อพานขันหมากพร้อม ต่อไปก็เป็นการแห่ขันหมาก อันเต็มไปด้วยความคึกคักสนุกสนาน มีผู้ร่วมขบวนเป็นทั้งเพื่อทั้งญาติ ที่มาเป็นสักขีพยาน ว่าเจ้าบ่าวกำลังจะมารับเจ้าสาวไปดูแล เป็นการให้เกียรติฝ่ายหญิง ไม่ใช่ว่ามุบมิบแต่งงานกันอย่างลับๆ อีกทั้งการแห่ขันหมากยังมีความหมายตามหลัก ของพระพุทธศาสนา ซึ่งร้อยโทวิชัยได้อธิบายเอาไว้ว่า
“ตามหลักพระพุทธศาสนา หน้าที่หลักของสามี ที่ทำให้ภรรยา มี 5 ประการ คือ "หน้าที่สามีเลิศ " หนึ่งชูเชิญภริยาว่า คู่ขวัญ สองไม่หลู่ดูหมิ่นใจกัน สามรักมั่นไม่นอกใจให้เธอตรง สี่มอบความเป็นใหญ่ให้ที่รัก ห้าให้เครื่องประดับ แต่งกายอย่างงามสม พาออกงานในชุดงามตามนิยม โลกชื่นชมว่าสามีที่รู้ใจ ...เขาให้ยกย่องภรรยานั้นเอง การแห่ขันหมากเป็นการโห่ร้องประกาศ เป็นการแสดงออกของความเป็นสุภาพบุรุษของเจ้าบ่าว”
ขบวนขันหมาก จึงไม่ใช่เอาความคึกคักเข้าว่า ส่วนสิ่งที่เข้าร่วมในขบวน ก็ไม่ใช่หยิบฉวยเอาใกล้มือ แต่ผ่านการคิดสังเคราะห์มาแล้วว่ามีความหมายในทางดี หลักๆ ก็คือพานขันหมาก (มงคลอัดแน่น) และสินสอดเครื่องแต่งตัวของเจ้าสาว นอกจากนี้ยังมีขนม และผลไม้มงคล ตัวอย่างเช่น ต้นกล้วย และต้นอ้อย ที่สังเกตได้ว่า ต้นไม้ทั้งคู่มีลักษณะตรง สื่อความหมายว่าต่อแต่นี้ไป ให้คู่บ่าวสาวมีจิตใจที่ซื่อตรงต่อกัน ต้นกล้วยนั้นมีผลดก ก็เป็นการอวยพรให้คู่บ่าวสาว มีบริวาร และกัลยาณมิตร ทำอะไรสำเร็จไปได้โดยง่าย และขณะเดียวกัน ต้นอ้อยที่มีรสหวาน สื่อว่าให้คู่บ่าวสาว มีแต่ความหวานสดชื่นในชีวิตสมรส
3. การสู่ขอ
เริ่มต้นด้วยการกล่าวคำสู่ขอของเถ้าแก่ฝ่ายเจ้าบ่าว จากนั้นเถ้าแก่ฝ่ายเจ้าสาว ก็จะกล่าวตอบรับการสู่ขอ และรับมอบสินสอดพานเครื่องหมั้น อย่างเป็นทางการ ร้อยโทวิชัยได้กล่าวถึงความสำคัญของขั้นตอนนี้เอาไว้ในแง่ว่า เป็นการรวมสักขีพยาน ผู้ซึ่งกำลังมองดู และพร้อมที่จะอวยพรให้กับ คู่บ่าวสาว หรือในอีกนัยหนึ่ง คือเป็นการให้เกียรติเจ้าสาว ด้วยการมาขอดูแลเจ้าสาว ท่ามกลางสักขีพยานนั่นเอง
4. การปูเรียงสินสอด
เป็นการนำสินสอดที่ฝ่ายเจ้าบ่าวมอบให้ มาเรียงสลับกับ ใบเงิน ใบทอง ใบนาก จากนั้น นำของมงคลในพานขันหมากเอก คือ ข้าวตอก ถั่วงา และดอกไม้มงคล มาคลุกเคล้าด้วยกัน ดอกไม้มงคลที่นิยมใช้กัน เช่น ดอกดาวเรือง สื่อถึงความรุ่งเรือง ดอกบานไม่รู้โรย เป็นการอวยพรให้คู่บ่าวสาวรักกันไม่เสื่อมคลาย ดอกรัก เพื่อแสดงถึงความรักที่บริสุทธิ์ เป็นต้น จากนั้น ก็จะให้ผู้ใหญ่ได้โปรยดอกไม้เหล่านั้น ลงไปบนสินสอดที่ปูเรียงเอาไว้แล้ว พร้อมอวยพรให้บ่าวสาวมีความสุข มีความเจริญรุ่งเรือง
5. การหมั้น
พิธีหมั้นนั้นก็เป็นการประกาศของคู่บ่าวสาวว่าจะดูแลซึ่งกันและกัน ถือเป็นการให้คำหมั้นสัญญาด้วยการสวมแหวน ท่ามกลางสักขีพยานที่มาร่วมแสดงความยินดี
“คำว่าหมั้นจริงๆ นั้น เป็นที่มาของคำว่าหมั้นหมายและหมั้นใจ เจ้าบ่าวหมั้นหมายเจ้าสาว และมั่นใจว่าต่อแต่นี้ไปจะดูแลเจ้าสาวของตนอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เจ้าสาวก็จะดูแลเจ้าบ่าวอย่างดีที่สุดเช่นกัน”
6. การไหว้ผู้ใหญ่
ประเพณีการไหว้ผู้ใหญ่นั้น มีลักษณะคล้ายกับการยกน้ำชาของประเพณีในแบบของจีน แต่ในพิธีแต่งงานแบบไทยเราใช้ธูปเทียนแพ จุดมุ่งหมายหลักเพื่อเป็นการบอกกล่าวให้ผู้ใหญ่ได้รับรู้ถึงการแต่งงานของบ่าวสาว ให้คู่บ่าวสาวได้มีโอกาสขอขมาลาโทษผู้ใหญ่ และเพื่อให้ผู้ใหญ่ได้มอบสิ่งมงคล นั่นก็คือ คำสั่งสอนในการใช้ชีวิตคู่ให้กับคู่บ่าวสาว
“สิ่งสำคัญคือ ภูมิปัญญาไทย ก็อยากจะให้บ่าวสาวไปรับพรและคำมงคล ที่ผู้หลักผู้ใหญ่ที่เคยมีประสบการณ์ เขาพร่ำสอน เป็นการแสดงออกซึ่งการอ่อนน้อม กายอ่อนน้อม วาจาอ่อนหวาน และจิตใจที่อ่อนโยน กายอ่อนน้อมก็คือ ในขณะที่ไหว้ผู้ใหญ่ ก็มีร่างกายที่อ่อนน้อม วาจาอ่อนหวานก็คือ ผู้หลักผู้ใหญ่นั้นมอบโอวาทธรรม คู่บ่าวสาว รับไปประพฤติปฏิบัติ ก็มีจิตใจที่อ่อนโยน ดูแลรักษากัน”
7. การหลั่งน้ำพระพุทธมนต์
ประสิทธิ์ ประสาทพร – ในพิธีการนี้ ก็เป็นอีกพิธีการหนึ่งที่เปิดโอกาสให้คู่บ่าวสาวได้รับคำอวยพรจากญาติผู้ใหญ่ และผู้เข้าร่วมแสดงความยินดี ในงานมงคลสมรส และเช่นเดียวกับขั้นตอนอื่นๆ ของที่ใช้ในพิธีการหลั่งน้ำพระพุทธมนต์ ก็ล้วนแล้วแต่มีความหมายที่ดีทั้งสิ้น
พิธีการนั้น เริ่มจากให้ผู้ใหญ่ของงาน สวมมงคลแฝดให้กับคู่บ่าวสาว ตัวมงคลแฝดนั้นประกอบไปด้วยด้าย 38 เส้น ซึ่งมีความหมายถึงมงคล 38 ประการ หลังจากนั้นผู้ใหญ่ก็จะใช้แป้งในกระแจะเจิมหน้าผากให้กับเจ้าบ่าวและเจ้าสาว ด้วยกันทั้งหมดสามจุด
“นอกจากจะเป็นการระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยแล้ว ก็เป็นความหมายทั่วไปที่คนทั่วไปเข้าใจได้ง่ายตามที่ผมคิด
“จุดแรกให้สร้างหลักฐาน จุดที่สองให้สารหลักแหล่ง และจุดที่สามให้แต่งหลักธรรม” ให้คู่บ่าวสาวได้สร้างหลักปักฐานร่วมกัน
มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง และครองรักครองเรือนด้วยหลักธรรมเป็นสำคัญ ”
ขั้นตอนต่อไปก็คือ การหลั่งน้ำพระพุทธมนต์จากหอยสังข์ ร้อยโทวิชัยกล่าวว่า การใช้สังข์นั้น เป็นความเชื่อที่ได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาพราหมณ์เพราะสังข์ถือเป็นหนึ่งใน 14 ของศักดิ์สิทธิ์ของเทวดา และเมื่อเป่าสังข์ ก็จะเกิดเสียงที่ดัง ถือเป็นการใช้ของมงคลของเทวดา และอวยพรให้คู่บ่าวสาวมีความเจริญรุ่งเรือง มีชื่อเสียงในทางที่ดีนั้นเอง นอกจากนี้แล้วการใช้น้ำในพิธี ก็มีความหมายที่ลึกซึ้งไม่แพ้กัน
“น้ำนั้น ประการแรก เป็นการอวยพรให้คู่บ่าวสาวมีจิตใจที่เย็นเข้าหากันดั่งน้ำ และขอให้มีความสุขร่มเย็นเฉกเช่นเดียวกับน้ำ น้ำนั้นสามัคคี ใครจะเอาไม้มากรีด เอามีดมาฟัน เอาขวานมาผ่า พอยกไม้ ยกมีด ยกขวานขึ้นแล้ว น้ำก็สามัคคีกันอย่างเดิม ก็คืออวยพรให้คู่บ่าวสาวนั้นมีความสมัครสมานสามัคคีกันนั้นเอง น้ำยังมีคุณสมบัติเชื่อมประสาน อย่างอาคารนี่ ก่อเป็นรูปร่างได้ด้วย หิน ดิน ปูน และทราย แต่ถ้าขาดน้ำ ก็ไม่ก่อตัวขึ้น ฉะนั้น น้ำสำคัญ และน้ำที่ใช้นี้ ก็ได้ผ่านการปลุกเสก อธิษฐาน จากพระคุณเจ้ามาแล้วด้วย”
8. การส่งตัว
ขั้นตอนสุดท้ายนี้ จะกระทำกันในเรือนหอของบ่าวสาว โดยจะให้ผู้ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตคู่มาปูที่นอนให้ ตั้งจิตอธิษฐานขณะปู อวยพรให้คู่บ่าวสาวที่จะได้นอนลงบนที่นอนนี้มีแต่ความสุข มีชีวิตคู่ที่ราบรื่นร่มเย็นดุจดังคู่ของพวกตน และที่ขาดไม่ได้ก็คือ ของมงคลที่ใช้ในพิธีส่งตัว ซึ่งก็ได้แก่
ไม้เท้า – เป็นการอวยพรให้คู่บ่าวสาวอยู่กันจนแก่เฒ่า
ไก่มงคล – เพราะว่าธรรมชาติของไก่นั้น ขยัน ออกทำมาหากินแต่เช้า เพื่อเป็นการแสดงให้คู่บ่าวสาวช่วยกันทำมาหากิน ตั้งแต่นี้ต่อไป
หินบดยา – เพื่อเตือนใจให้ต่อแต่นี้ไป คู่บ่าวสาวรักษาทั้งกายและใจของกันและกัน และมีจิตใจที่หนักแน่นต่อคู่รักของตน ดั่งเช่นหิน
ฟัก – เนื่องจากฟักนั้นเป็นผักที่เย็น แต่เมื่อโดนความร้อนก็จะเก็บความอบอุ่นได้ดี เป็นการอวยพรให้คู่บ่าวสาวนั้นอยู่ด้วยกัน อย่างร่มเย็นเป็นสุข แต่ก็มีความอบอุ่นเช่นเดียวกันกับฟัก
แมวคราว – ธรรมชาติของแมวนั้น ไม่ว่าจะไปเที่ยวเตร่ที่ไหนทั้งวัน ในที่สุดแล้ว แมวก็จะกลับมานอนบ้านของตน ดังนั้นแมว จึงเป็นสิ่งเตือนใจ เจ้าบ่าวเจ้าสาวว่า จากนี้ไปก็จะกลับมานอนบ้านเสมอ”
การส่งตัวนั้น เป็นขั้นตอนพิธีการสุดท้ายตามขนบธรรมเนียมประเพณีไทย พิธีการนี้มักทำกันเป็นส่วนตัวเฉพาะญาติผู้ใหญ่ หรือญาติสนิทของ คู่บ่าวสาว จุดประสงค์หลักของพิธีการนี้ก็คือ การอยู่ร่วมกันอย่างเป็นทางการท่ามกลางสักขีพยาน ก็คือคุณพ่อคุณแม่ ถือเป็นส่วนสำคัญที่สุดส่วนหนึ่งของพิธีมงคลสมรสก็ว่าได้
ถ้าคุณพ่อคุณแม่ยังอยู่ครบ ร้อยโทวิชัยมักแนะนำกับเจ้าสาวว่า “ก่อนที่เจ้าสาวจะได้กอดผู้ชายที่คุณรักอีกคนหนึ่ง กอดพ่อคุณสักครั้งหนึ่ง” ซึ่งการทำแบบนี้ จะทำให้ทั้งเจ้าสาวและพ่อของเจ้าสาวมีความสุข สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความละเอียดอ่อน และการเอาใจใส่ของร้อยโทวิชัย ที่ไม่ เพียงโฟกัสแค่คู่บ่าวสาว แต่ยังเอื้อเฟื้อไปถึงคนใกล้ชิดทุกคน
ถึงแม้ว่าในปัจจุบัน ลำดับการในพิธีแต่งงาน อาจจะมีความแตกต่างกันไปบ้างตามความเชื่อที่หลากหลาย และวัฒนธรรมที่ผสมผสาน แต่การกลมกลืนทุกความต้องการของทุกฝ่าย ไกล่เกลี่ยปัญหา ทำให้พิธีการในวันงานดำเนินไปอย่างราบรื่นไม่ติดขัด เป็นสิ่งที่ร้อยโทวิชัยให้ความสำคัญ ด้วยหลักการว่า ทุกงานแต่งงานที่เกิดขึ้น ย่อมมีเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียว ก็คือการให้ทุกคนได้มาร่วมแสดงความยินดีกับคู่บ่าวสาว ผ่านพิธีการอันเป็นมงคลต่าง ๆ
สำหรับร้อยโทวิชัย งานแต่งงานที่ประสบความสำเร็จก็คือ งานที่เจ้าภาพพอใจ มีความสุข และเป็นกังวลน้อยที่สุดนั่นเอง จึงทำให้ ผลงานของร้อยโทวิชัย ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ไม่เป็นที่ผิดหวังของคู่บ่าวสาวเลยแม้แต่น้อย ขณะเดียวกันก็ยังอนุรักษ์สืบสานประเพณี อันดีงามของไทย ให้คงอยู่ต่อไปได้ แม้โลกจะหมุนเปลี่ยนเร็วไวแค่ไหน ความคิดจิตใจของผู้คนจะแปรแปลงไปอย่างไรก็ตาม
“เป็นพิธีที่งดงาม ถ้าทำได้ดีเขาจะประทับใจ เพราะสำหรับบ่าวสาว วันนี้เป็นวันสำคัญ โดยเฉพาะผู้หญิง... มีทั้งความสุขและความปลาบปลื้ม ปิติยินดี มีสองอารมณ์ในทุกงาน ทั้งร้องไห้ ทั้งหัวเราะ แต่ว่าเป็นน้ำตาเย็น น้ำตาแห่งความปลาบปลื้มปิติ”