Siam Kempinski Hotel สถานที่แต่งงานไซส์ใหญ่ เดินทางสะดวก
งานแต่งงานของเราอยากให้ทุกอย่างส่งไปให้ช่วงอาฟเตอร์ปาร์ตี้สนุกค่ะ ตอนหาสถานที่รู้สึกว่า Siam Kempinski Hotel (สยามเคมปินสกี้ กรุงเทพฯ) ตอบโจทย์ เรามีแขก 1000 คน ซึ่งห้องที่นี่สามารถรองรับได้ และตัวห้องมีเพดานสูง นอกจากนี้เราคิดเผื่อไว้ว่าหากช่วงนั้นมีกิจกรรมกะทันหันทำให้รถมาไม่สะดวก แขกยังสามารถมาด้วย BTS ได้ จึงเลือกจัดงานแต่งงานที่นี่ค่ะ
ตกแต่งสวยเก๋จากชื่อเจ้าสาว เพิ่มเสน่ห์ดูว้าวด้วยสไตล์งานยุค 90
สำหรับการตกแต่ง เราตั้งธีมงานและดีไซน์ทุกอย่างเป็นเหมือนสายฝนตามชื่อเจ้าสาวค่ะ โดยใช้การเรียงของแผ่นอะคริลิคกับดอกไม้ให้ดูเป็นสายฝนที่ตกลงมา ประกอบกับเราอยากให้ช่วงอาฟเตอร์ปาร์ตี้เป็นแบบยุค 90 จึงใส่แฟชั่นยุคนั้นลงไปในดีเทลต่างๆ ตั้งแต่่การถ่ายพรีเวดดิ้งจนถึงดีเทลงานเลยค่ะ
งานของเราจัดแบบ Art Installation เหมือนทำแกลอรี่ เมื่อเข้ามาในงานจุดแรกจะเจอโต๊ะลงทะเบียน ถัดไปเป็น Photo Booth ที่เรานำมาให้คนถ่ายรูปเล่น ซึ่งเวลาปริ้นท์ภาพออกมาจะเป็นกราฟิกงานเราด้วยค่ะ
ส่วนของแกลอรี่เราใช้ภาพไดคัทคู่ของเราทำเหมือน Art exhibition ค่ะ ซึ่งตรงนี้จะเปิดเพลงยุค 90 คลอเบาๆ เพื่อให้แขกยืนรอเพลินๆ ด้วย และเมื่อผ่านแกลอรี่ก็จะเจอ Backdrop ที่เราออกแบบให้ดูมินิมอล เรียบเท่ แต่มีความโมเดิร์น โดยเราใช้พื้นหลังสีขาว ตกแต่งด้วยดอกไฮเดรนเยียสีฟ้า น้ำเงิน ขาว แล้วทับด้วยอะคริลิคสีเขียว น้ำเงิน ฟ้า ทำเป็นเส้นเหมือนฝน และมีโลโก้ที่ป๊อง (เจ้าบ่าว) เป็นคนออกแบบตรงกลางค่ะ
สำหรับในห้องจัดงาน เมื่อเข้ามาจะเห็นซุ้มเค้กที่ตกแต่งด้วยดอกไฮเดรนเยียที่ฝนชอบและแซมด้วยดอกกุหลาบสีขาวกับสีน้ำเงินก่อนเลยค่ะ ซึ่งส่วนของตัวเค้กเราได้สั่งพิเศษด้วย เป็นทรงเหลี่ยมที่แต่ละชั้นจะไม่สมมาตรกัน เพื่อให้มีความแปลกแต่ดูโมเดิร์น
ส่วนพวกโต๊ะและอาหาร ด้วยเราจัดเป็นเลี้ยงค็อกเทล หลังห้องจึงจัดเป็นอาหารและโต๊ะสำหรับแขกเด็กที่ยืน ส่วนหน้าเวทีวางเป็นโต๊ะ VIP สำหรับผู้ใหญ่ค่ะ
ถักจากเค้กเป็นส่วน Dance floor ที่ออกแบบให้เหมาะสำหรับแฟลชม็อบช่วงโชว์ของอาฟเตอร์ปาร์ตี้ ตรงพื้นทำเป็นกราฟิกเชื่อมลงมาจากฉากบนเวทีเหมือนเป็นสายฝนตกลงมา ส่วนเวทีเรายึดสไตล์จาก Backdrop ดึงตัวอะคริลิคใสมาอยู่บนฉากขาว ข้างๆ เป็นจอ LED ค่ะ
งานเราเน้นจอ LED เป็นหลัก ด้วยความที่ป๊องเป็นคนทำ Media อยู่แล้ว และทั้งงานเขาก็เป็นคนทำ เราจึงรู้สึกว่า Media ของเราแปลกกว่างานอื่น ตรงไหนปรับเป็นจอได้เราก็จะใช้เป็นจอค่ะ ซึ่งเราทำกราฟิกแสดงบนจอให้เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ได้ด้วย นอกจากนี้ส่วนของพื้นเวทีเราก็ออกแบบขึ้นมาเพื่อรองรับช่วงอาฟเตอร์ปาร์ตี้ให้สามารถสนุกได้เต็มที่โดยการดีไซน์ให้เดินขึ้นลงได้ทุกทางค่ะ
ของชำร่วยความหมายดี ที่บ่าวสาวร่วมกันทำ
สำหรับของชำร่วยเราอยากให้เป็นของที่เราสองคนร่วมกันทำขึ้นมาค่ะ ซึ่งฝนกับป๊องมีโปรเจคที่ทำด้วยกันมาหนึ่งปีอยู่แล้วคือสารส้มดีโอเดอแรนท์ ผลิตภัณฑ์ตัวหนึ่งของธุรกิจที่บ้านที่ฝนอยากพัฒนาให้เข้ากับยุคสมัย ใช้ได้ง่าย ให้คนยุคใหม่ไม่คิดว่าเป็นของที่เชย
เรากำลังหาวันเปิดตัวอยู่ ซึ่งก็คิดว่านำมาเปิดตัวในวันแต่งงานจะดีที่สุด เพราะเป็นสิ่งที่รวมความเป็นเราเข้าไว้ด้วยกัน ฝนทำโปรดักส์ ส่วนป๊องทำในส่วนของการเล่าเรื่องและดีไซน์ เป็นเหมือนการรวมกันของเราสองคน แล้วชื่อแบรนด์ก็คือ rati ที่มาจากชื่อของฝน อีกทั้งความหมายก็ยังแปลว่าความรัก เรารู้สึกว่าเป็นความหมายที่ดี จึงตัดสินใจเลือกโปรดักส์นี้มาเป็นของชำร่วย ซึ่งใครสนใจสามารถดูข้อมูลได้ที่ www.ratibkk.com ได้นะคะ
ชุดแต่งงานสุดเริ่ด ช่วงพิธีสวยไม่ซ้ำใคร ช่วงปาร์ตี้ก็ถูกใจเข้าธีม
ชุดแต่งงานของฝน คิดไว้นานแล้วว่าจะเลือกใช้แบรนด์ Sirivannavari Bangkok ที่ฝนชอบ แบรนด์นี้ดีเทลสวย งานปักละเอียดมากค่ะ แล้วชุดที่ทำออกมาสวยไม่เหมือนใคร ออกแบบมาให้เข้ากับหุ่นและบุคลิกของคนใส่จริงๆ
สำหรับชุดช่วงพิธีการของฝนเป็นชุดแขนยาวเปิดไหล่ทรงหางปลา ตรงข้อมือด้านซ้ายมีปักชื่อ ส่วนด้านขวาปักวันที่แต่งงาน ข้างหลังมีส่วนโบว์ที่สามารถถอดได้ ซึ่งตอนถ่ายรูปหน้า Backdrop ฝนไม่ได้ใส่โบว์ค่ะ แต่นำไปใส่ตอนเดินเข้างานเซอร์ไพรส์แขก ส่วนชุดอาฟเตอร์ปาร์ตี้ ฝนชอบขนนกจึงให้โจทย์ไปว่าขอมีขนนก และชอบกางเกงขาบาน อยากให้ดูเข้ากับคอนเซ็ปต์ยุค 90 ซึ่งร้านออกแบบมาได้สวยไม่เหมือนใครเลยค่ะ
พิธีการเรียบง่าย แต่อาฟเตอร์ปาร์ตี้จัดเต็ม
งานแต่งงานของเราอยากให้มีบรรยากาศอบอุ่นเป็นกันเอง ดังนั้นจึงเลือกใช้ดนตรีแจ๊สเล่นสดทั้งงาน ซึ่งเราก็ได้คุณโคโค่นักร้องแจ๊สมาร้องเพลงให้ค่ะ นอกจากนี้ก็เชิญมาแต่คนที่เราสนิททั้งหมด พิธีกรเองก็เลือกคุณเอ็ด - อกนิษฐ์ วิเชียรเจริญ ที่เป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยเรียนอยู่โรงเรียนจิตรลดา แม้กระทั่งประธานก็เลือกคุณปู่ของป๊องที่เป็นอดีตอธิบดีกรมชลประทาน ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ที่เราเคารพรักและรู้จักเราเป็นอย่างดีค่ะ
สำหรับพิธีการงานของเราก็เหมือนงานทั่วไป ก่อนเปิดตัวบ่าวสาวมีเปิดวีดีโองานหมั้นให้แขกดู พอถึงเวลาบ่าวสาวก็เดินเข้างานพร้อมกัน โดยมีน้องอินดี้ อายุประมาณ 2 ขวบ หลานแท้ๆ ของฝนที่เรารักมากเดินนำเข้างาน ซึ่งตอนนี้เราเลือกใช้เพลง Let's Stay Together ที่ป๊องชอบประกอบค่ะ
เรามีเปิดพรีเซนเทชั่นที่ทำเองให้แขกดูด้วยค่ะ ซึ่งเป็นสิ่งที่เรารู้สึกว่าพิเศษมากๆ เราทำเป็นเพลงขึ้นมา แต่งแร็พ ทำทำนองและ MV ใช้ชื่อเพลงว่าเรื่อยๆ ไปจนแก่ เนื้อหาเป็นแร็พด่ากัน พูดถึงนิสัยไม่ดีของกันละกัน แล้วสุดท้ายก็มีบอกว่า มันเป็นนิสัยไม่ดีที่เราแฮปปี้ที่จะเจอกันไปจนวันตาย ซึ่งเราแฮปปี้กับพรีเซนเทชั่นตัวนี้มากค่ะ
เรามีช่วงสัมภาษณ์เหมือนงานทั่วไป มีตัดเค้กและโยนดอกไม้ โดยช่วงตัดเค้กจะใช้เพลง Can't Help Falling In Love ของ Elvis Presley ที่ฝนชอบ และตอนโยนดอกไม้ก็ใช้เพลงของไมเคิล แจ็คสันค่ะ ซึ่งพอจบพิธีการทั้งหมดแล้วก็จะเป็นช่วงอาฟเตอร์ปาร์ตี้ค่ะ
การจัดงานแต่งงานถ้าไม่ได้คนที่รักเราจริงๆ มาช่วย งานคงไม่สามารถเสร็จสมบูรณ์ออกมาได้ เราไม่ได้บอกว่างานเราดีที่สุด แต่เราพอใจที่สุดและมีความสุขมาก รู้สึกโชคดีที่ได้คนที่รักมาช่วยทุกอย่าง โดยที่เริ่มจากเขาเข้ามาช่วยเอง เขาตั้งใจทำเพื่อเรา เรารู้สึกถึงความรักที่ทุกคนมีให้ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าจดจำ
เราโชคดีที่ผู้ใหญ่เข้าใจ ยอมให้เราทำในสิ่งที่เราอยากทำ พวกเราจริงจังกับเรื่องเล่นๆ คิดลงไปในหลายๆ จุด แล้วทำดีเทลเยอะมาก ซึ่งเรารู้สึกภูมิใจที่สุดที่แขกอยู่กับเราจนจบงานเยอะ แสดงว่าเขาสัมผัสได้ถึงความตั้งใจที่เราอยากให้ทุกคนมาร่วมสนุกและมีความสุขไปกับเรา เราแฮปปี้มากที่ทุกคนเอ็นจอยค่ะ
แนะนำบ่าวสาว
ศึกษาแพลนเนอร์ที่จะจ้าง : ดูว่าสไตล์เขาเข้ากับจริตเราได้ไหม โทรคุยแล้วดูว่าเขาเข้าใจในสิ่งที่เราต้องการไหม และถ้าคิดว่าจะจ้างแพลนเนอร์ ให้รีบจ้างเลย เพราะไม่ว่าจะจ้างเร็วหรือช้า มันก็เป็นระยะเวลาที่เราได้แบ่งเบาภาระออกไปได้เร็วที่สุดเท่านั้น
ได้แพลนเนอร์แล้ว ให้เลือกโรงแรม : แนะนำให้รีบจอง เนื่องจากโรงแรมจะเต็มเร็วมาก
ลิสต์เลยว่าต้องการให้อะไรอยู่ในงาน : เพราะจะช่วยทำให้เตรียมงานง่ายขึ้น เราจะเหลือแค่หาสิ่งที่เราต้องการแค่นั้นค่ะ
ชุดแต่งงานสำคัญ : มันมีรายละเอียดเยอะมาก ให้ไปลองดูก่อนว่า ตัวเองเหมาะกับการใส่แพทเทิร์นแบบไหน ลองให้เยอะๆ เราจะได้รู้ว่าเราชอบประมาณนี้ แล้วมันเข้ากับเรานะ
คุยความต้องการกับคู่ให้ชัด : งานแต่งงานมันต้องตัดสินใจเรื่องเล็กน้อย ยิบย่อย เต็มไปหมด ต้องรู้ให้ชัด จะได้ไม่เป๋ เพราะถ้าเราเป๋ เราจะเครียดค่ะ
จ้างช่างภาพหลายทีม : ถ้ามีงบจ้างหลายทีมเลยค่ะ เพราะแต่ละทีมจะมีการถ่ายและสไตล์ไม่เหมือนกัน ซึ่งจะทำให้เราได้ภาพคนละฟีลลิ่ง ได้คนละอารมณ์ และตอนที่เลือกช่างภาพต้องทำการบ้านก่อน ต้องรู้ว่าช่างภาพแต่ละคนมีสไตล์เป็นยังไง แล้วค่อยเลือกค่ะ