W Bangkok สถานที่แต่งงานสวย ช่วยรับกับธีม
ผมเลือกใช้โรงแรม W Bangkok Hotel (ดับเบิ้ลยู กรุงเทพ) เป็นสถานที่จัดงานแต่งงาน เพราะนอกจากจะสวยด้วยตัวเอง โดยที่ไม่ต้องตกแต่งอะไรมากแล้ว บรรยากาศโดยรวมก็น่าจะเหมาะกับธีมที่คิดไว้ ตรงเพดานห้องจัดงานก็สามารถเปลี่ยนไฟได้หลายสี น่าจะช่วยบิ้วด์อารมณ์แขกให้ครึกครื้นได้ไม่ยากครับ
และเพื่อให้องค์ประกอบในงานสอดรับกับธีมที่ตั้งใจไว้มากที่สุด ผมเลยเน้นการตกแต่งที่บนเวทีเป็นหลัก อุปกรณ์ที่ใช้ก็จะเป็นจอ LED (สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบภาพให้เหมาะกับช่วงต่างๆ ได้) ผ้าดำไฟดาว เครื่องดนตรี ระแบบแสง สี เสียง เต็มรูปแบบ โดยย่อสเกลลงมาหน่อย ล้อกับการจัดงานคอนเสิร์ต แต่ในขณะเดียวกันก็ยังเหมาะสมกับการเป็นงานแต่ง
งานแต่งธีมคอนเสิร์ตจัดได้ ไม่ต้องใช้ออแกไนซ์
งานผมจะเป็นธีมแบบแนวคอนเสิร์ต ส่วนนึงเพราะผมเคยช่วยจัดกิจกรรมให้กับสมาคมศิษย์เก่าที่โรงเรียนอยู่บ่อยๆ พวกงานคืนสู่เหย้า งานแรลลี่ งานโบลิ่ง ได้มีส่วนร่วมทั้งการเตรียมสถานที่ ตกแต่งเวที แบ๊คสเตจ และดูแลศิลปิน ดังนั้นเราเลยพอจะรู้แนวทาง มีความคุ้นเคยที่จะจัดงานเองโดยที่ไม่ต้องพึ่งออแกไนซ์ เลยนำเอาประสบการณ์ดังกล่าวมาใช้ในการจัดงานแต่ง บวกกับผมเป็นคนชอบร้องเพลง และเพื่อนๆ ก็ชอบเล่นดนตรีเป็นงานอดิเรกกันอยู่แล้ว ฝ่ายเจ้าสาวเองก็ชอบเต้น ชอบดูคอนเสิร์ต ทุกสิ่งทุกอย่างมันประกอบกันลงตัวไปหมด เลยจัดออกมาในรูปแบบนี้ซะเลย
ใส่ใจในทุกส่วน
ส่วนการตกแต่งหน้างาน มันจะมีพื้นที่ให้เล่นประมาณ 4 ล็อคครับ ล็อคแรกผมทำเป็นจุดลงทะเบียน ส่วนล็อคที่สองไม่ได้ลงทุนทำแกลอรี่แบบจริงจังเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย โดยแค่ใช้ขาตั้งรูปใหญ่ๆ วางรูปพรีเว้ดดิ้งไว้ประดับ ทั้งหมด 4 รูป ล็อคที่สามจะเป็นแบ็คดรอป และล็อคสุดท้ายเป็นจุดปริ้นท์ภาพจากการติดแฮชแท็ก สิ่งหนึ่งที่ผมคำนึงถึงเป็นพิเศษคือ การลากลำโพงและสัญญาณภาพออกมาตรงจุดลงทะเบียน และตรงแบ๊คดร๊อปด้านนอกด้วย เพื่อให้เสียงดนตรีและภาพบรรยากาศภายในงาน สามารถเห็นได้ทั่วถึงกันทั้งหมด วิธีนี้จะช่วยให้เพื่อนๆ หรือญาติๆ ที่มาช่วยงานตรงจุดลงทะเบียนของเรา ไม่ถูกตัดขาดออกจากงาน รู้สึกเหมือนยังมีส่วนร่วมตลอดงานไปด้วยจริงๆ
ในส่วนของของชำร่วยที่แขกจะได้รับไปในงาน เนื่องจากผมชอบอะไรที่เป็นพวกเกี่ยวกับเทคโนโลยี เลยเลือกไฟ LED เสียบ USB มาใช้ คนที่ได้ไปอาจจะนำไปเสียบกับพาวเวอร์แบงค์ก็ได้ หรือเสียบกับช่องต่อ USB อื่นๆ ถึงจะไม่สะดวกเหมือนไฟฉายทั่วไป แต่ก็พกพาง่ายกว่า สามารถงอได้ด้วย เหมาะกับชีวิตคนเมืองมากๆ ครับ
เรื่องการดึงความสนใจของแขกก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่เราพยายามหาทางจัดการให้ดีที่สุด อย่างตัวผมเองก็มีการจ้างทีมกล้อง OB (ถ่ายทอดสด) มาให้เก็บบรรยากาศสดๆ ภายในงานด้วย แล้วตรงเวทีก็จะทำเป็นจอ LED ส่วนซ้ายมือเป็นจอโปรเจ็คเตอร์ของโรงแรม แขกจะได้เห็นงานจากทุกจุด ถึงจะยืนระนาบเดียวกันเยอะๆ ก็ไม่เป็นปัญหา ไม่มีการหลุดโฟกัสออกจากงานแน่นอนครับ
งานของคอดนตรีตัวจริง
สำหรับโชว์บนเวที เราแบ่งพาร์ทออกเป็นทั้งหมดเจ็ดช่วง ผมเลือกเพลงที่ใช้ในงานเองทั้งหมดโดยเน้นไปที่เพลงรักที่มีความหมายดีๆ ช่วงแรกที่เป็นตอนที่ถ่ายรูปกับแบ็คดรอป ก็จะมีวงดนตรีทรีโอ้มาเล่นคลอบรรยากาศตอนแขกรับประทานอาหาร มีไวโอลิน มีฟลุท มีเปียโน จะได้ครบเครื่อง ทั้งเครื่องสี เครื่องเป่า และเครื่องดีด ในส่วนนี้ก็จะเล่นไปจนถึงช่วงพิธีการเลย ช่วงพิธีการ เราก็ให้ญาติของทั้งสองฝ่ายขึ้นมาร้องเพลงอวยพร โดยให้ทั้งสองท่านคิดเพลงที่อยากร้องมาประมาณ 3-5 เพลงให้ผมเลือก คุณน้าผม ผมเลือกให้เป็นเพลง “พรหมลิขิต” ส่วนคุณน้าเจ้าสาว เลือกเพลง “ใจรัก” ทั้งสองเพลงเป็นเพลงอมตะที่มักถูกนำมาโคเวอร์ใหม่ เด็กรุ่นใหม่ได้ยินกันก็ยังรู้สึกอินอยู่ โดยช่วงนี้ใช้วงฟูลแบนด์หลักของงาน เล่นให้ญาติเราร้อง ส่วนวงทรีโอ้ดูแลตอนเปิดตัว ตัดเค้ก และ โยนดอกไม้
นอกจากเรื่องเชิงโครงสร้างแล้ว เราก็ยังให้ความหมายกับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ภายในงานด้วย เช่น โลโก้ของเราก็เกิดจากการนำวงกลมสองวงมาซ้อนทับกันครับ คล้ายๆ การอินเตอร์เซ็คชั่นกัน ในแผนภาพเวนน์-ออยเลอร์ วิชาคณิตศาสตร์ ม.4 โดยวงกลมคาบเกี่ยวกันโดยที่มีจุดร่วมตรงกลางอยู่ ความหมายของมันคือเรามีพื้นที่ส่วนใหญ่ของวงกลมที่เป็นจุดทับซ้อนกัน เป็นพื้นที่ที่เราสองคนชอบและทำอะไรหลายๆ อย่างร่วมกันได้ แต่ในขณะเดียวกันเราก็ยังมีพื้นที่ส่วนตัวเป็นของตัวเองอยู่ ถึงจะชอบอะไรที่แตกต่าง แต่เราก็สามารถมีความสุขร่วมกันได้ เป็นเหมือนจุดหมายที่แท้จริงของการแต่งงานครับ
ไฮไลท์อีกอย่างในงาน จะเป็นเซอร์ไพรส์จากเจ้าบ่าว หลังจากที่เริ่มขอบคุณทุกคนในงานจนครบหมดแล้ว ก็จะมาถึงคิวที่ต้องขอบคุณเจ้าสาว ซึ่งผมไม่ได้ขอบคุณเป็นคำพูดเหมือนคนอื่นๆ แต่ขอบคุณด้วยการร้องเพลง ซึ่งพิเศษตรงเราไม่ได้ใช้เครื่องดนตรีเล่น แต่จะเป็นการร้องประสานเสียงแบบ Acapella ซึ่งโชคดีมากที่ได้พี่เดียร์จากวง Acapella 7 มาช่วยเรียบเรียงและร้องประสานเสียงให้ ร่วมกับเพื่อนๆ อีกสี่คนที่ถนัดด้านประสานเสียง มาช่วยร้องประสานเสียงให้อีกด้วย เป็นซีนที่พีคที่สุดในงานเลย
พอหมดช่วงพิธีการ เราก็เข้าสู่คอนเสิร์ตแบบเต็มรูปแบบ นั่นคือช่วงที่สาม เริ่มจากเพื่อนคุณแม่เจ้าบ่าวก็จะได้มาร่วมแจมในซีนนี้ด้วย ร้องเพลงรักยุคเก่าๆ กันประมาณ 4 เพลงครับ เอาใจแขกผู้ใหญ่ และช่วยดึงให้แขกอยู่ต่อ จังหวะนี้เราก็จะแอบแว่บไปเปลี่ยนชุดเติมหน้ากันได้ แล้วกลับมาต่อด้วยช่วงที่สี่ บทเพลงจากเจ้าบ่าวให้เจ้าสาว ช่วงที่ห้าคือ ช่วงเพื่อนเจ้าบ่าว-เพื่อนเจ้าสาว รวมไปถึงพี่เดียร์ Acappella7 , น้องตั๊ก อธิศรี มาร่วมร้องด้วย ช่วงที่หกคือ วงเพื่อนๆ จากโรงเรียนมัธยมของผมทั้งวง และช่วงสุดท้ายคือวง Polar Bear ที่เล่นแบคอัพให้ตั้งแต่ช่วงพิธีการ ซึ่งทุกคนในวงเล่นประจำกันอยู่ที่ผับดังแห่งหนึ่งอยู่แล้ว จึงเหมาะกับช่วงสุดท้ายๆ มาก เทคนิคคือเพิ่มบีทส์ของเพลงไปเรื่อยๆ ให้รู้สึกว่ายิ่งอยู่ยาวก็ยิ่งสนุกครับ
และเนื่องจากผมใช้วงดนตรีค่อนข้างเยอะ เราเลยต้องมีช่วงที่ให้วงหลักได้พัก ก็เลยจะมีการเล่นเกมคั่นเวลาระหว่างเปลี่ยนวงครับ เกมก็จะมีหลากหลายแบบ ทั้งการแข่งกันลากเสียงชื่อบ่าวสาว เจน-ตู้ ให้ได้นานที่สุด หรืออย่างให้บ่าวสาวเลือกเพื่อนมาฝั่งละสามคน แล้วให้แต่ละคนหันหน้าเข้าหากัน จำรายละเอียดของอีกฝ่าย แล้วหันหลังสลับกันทาย เรียกเสียงหัวเราะได้เยอะทีเดียว ข้อติงนิดเดียวของเกมส์นี้คือ มันสนุกมากจริงๆ ยิ่งพิธีกรดี ยิ่งบิ้วด์ขึ้นเลย เพราะฉะนั้นอาจจะกินเวลา เลยต้องระวังว่ามันอาจจะนานเกิน และแขกที่ไม่ได้รู้จักคนที่ขึ้นมาบนเวทีอาจจะไม่อิน
แนะนำบ่าวสาว
ต้องมีทีมงานเวทีที่ดีจริงๆ : สำคัญที่สุดคือต้องมีคนดูแลคุมโชว์ภาพรวมทั้งหมดหมดเวที และถ้าเกิดว่ามีปัญหาขึ้นมาว่าไมค์ไม่ดัง ไมค์ไม่ติด จะต้องมีทีมแบ๊คสเตจเข้ามาจัดการให้งานมันดำเนินต่อ และสำคัญไม่แพ้กันคือพิธีกรจะต้องเก่งด้วย ส่วนของงานเราเองเราใช้พิธีกรถึงสี่ชุด เพราะไม่อยากใช้ชุดเดียวยาวไปเลย ตัวพิธีกรเองก็จะได้ไปเอนจอย ไปพักทานข้าวด้วย แล้วก็ได้เปลี่ยนอารมณ์แขกไปในตัว
ทำเองเหนื่อยหน่อย แต่เซฟได้เยอะจริงๆ นะ : แต่ข้อสำคัญเลยคือควรจะต้องมีประสบการณ์ในด้านนั้นๆ ด้วยนะครับ มันจะได้เข้าใจเนื้องานมากขึ้น จุดผิดพลาดก็จะไม่เยอะ ยิ่งถ้าได้เพื่อนๆ ที่เก่งด้านนั้นๆ ด้วย ยิ่งง่ายเลย